ไม้สัก ดีอย่างไร? เจาะลึกคุณสมบัติ ขนาด และประเภทไม้สัก ที่ทำให้เป็นไม้ยอดนิยมตลอดกาล

ไม้สักดีอย่างไร? เจาะลึกคุณสมบัติ ขนาด และประเภทไม้สัก ที่ทำให้เป็นไม้ยอดนิยมตลอดกาล

ไม้สัก ดีอย่างไร? เจาะลึกคุณสมบัติ ขนาด และประเภทไม้สัก ที่ทำให้เป็นไม้ยอดนิยมตลอดกาล

เมื่อพูดถึง “ไม้สัก” ช่างไม้ สถาปนิก หรือแม้แต่นักสะสมไม้ต่างรู้จักกันดีว่า ไม้สักคือไม้เนื้อแข็งที่มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านความทนทาน ความสวยงาม และความคลาสสิก ไม้สักไม่เพียงแค่เหมาะกับการทำเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูงเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้กับงานสถาปัตยกรรม และตกแต่งภายใน–ภายนอกได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัยระดับพรีเมียม โรงแรม รีสอร์ท หรือสถานที่ราชการ

ในบทความนี้ เราจะพาคุณมาเจาะลึกว่า “ไม้สักดีอย่างไร?” พร้อมอธิบายคุณสมบัติ ขนาด และประเภทไม้สักยอดนิยม รวมถึงเหตุผลว่าทำไมไม้สักถึงเป็นไม้ที่ไม่มีวันตกยุค

1. ประวัติความเป็นมาของ ไม้สัก

ไม้สัก (Tectona grandis) เป็นไม้ยืนต้นเขตร้อนที่มีต้นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศพม่า ไทย ลาว และอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไม้สักพม่า” ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพดีที่สุดในโลกด้วยลายไม้ที่สวยงาม สีเข้ม และมีน้ำมันในเนื้อไม้สูงตามธรรมชาติ

ในประเทศไทย ไม้สักถูกนำมาใช้ในงานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นวังหลวง บ้านเรือนไทยโบราณ หรือวัดวาอาราม ไม้สักถูกยกย่องว่าเป็น “ราชาแห่งไม้” ด้วยคุณสมบัติที่ทนทาน ใช้งานได้ยาวนานหลายสิบปี

ต่อมาเมื่อทรัพยากรไม้สักเริ่มลดลง ประเทศไทยจึงเริ่มมีการปลูก “ไม้สักสวนป่า” ขึ้นโดยการควบคุมของกรมป่าไม้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมและลดการพึ่งพาการตัดไม้จากธรรมชาติโดยตรง

ปัจจุบัน ไม้สักยังคงเป็นไม้ที่ได้รับความนิยมสูงในทุกระดับของการออกแบบ ทั้งในงานตกแต่งภายใน งานเฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงงานโครงสร้างระดับสูงในโครงการอสังหาริมทรัพย์หรูทั่วโลก

2. ความเชื่อเกี่ยวกับไม้สัก

ไม้สัก ไม่ได้เป็นเพียงไม้เนื้อแข็งคุณภาพสูงที่นิยมนำมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์หรู หรือใช้ในงานตกแต่งบ้านระดับพรีเมียมเท่านั้น แต่ยังมีความเชื่อฝังรากลึกในวัฒนธรรมไทยว่าเป็น ไม้มงคล ที่ช่วยส่งเสริมความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองให้กับเจ้าของบ้านอีกด้วย

ในทางความเชื่อของไทย ไม้สักมักถูกมองว่าเป็นไม้ที่ “สักการะ” หรือควรค่าแก่การบูชา เพราะคำว่า “สัก” พ้องเสียงกับคำว่า “ศักดิ์สิทธิ์” จึงเชื่อกันว่าบ้านที่ใช้ไม้สักจะมี ความสง่างาม เป็นที่ยกย่อง และช่วยเสริมบารมีให้กับเจ้าของ โดยเฉพาะหากนำไปใช้ในตำแหน่งสำคัญ เช่น เสาเอก หรือ ห้องพระ

นอกจากนี้ ไม้สักยังถือเป็น หนึ่งในไม้ห้ามตามตำรามงคล ที่สามารถใช้ในการสร้างบ้านใหม่ ปลูกบ้านใหม่ หรือรีโนเวต โดยเชื่อว่าจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีความมั่นคง ร่ำรวย และมีเกียรติในสังคม

ด้วยเหตุนี้เอง ไม้สักจึงไม่ได้ถูกเลือกเพียงเพราะความสวยงามของเนื้อไม้และความทนทาน แต่ยังแฝงไว้ด้วยความหมายดี ๆ ที่ทำให้หลายคนเลือกใช้ไม้สักเพื่อความสบายใจและความเป็นสิริมงคลของบ้านและครอบครัว

3. คุณสมบัติเด่นของ ไม้สัก

3.1 ไม้สัก ทนปลวกและแมลงได้ดีเยี่ยม

เนื้อไม้สักมีน้ำมันธรรมชาติที่ช่วยป้องกันปลวก มอด และเชื้อราตามธรรมชาติ จึงเหมาะกับการใช้งานทั้งภายในและภายนอก แม้ไม่ผ่านการอบเคมีก็ยังทนปลวกได้ในระดับที่เหนือกว่าไม้ทั่วไป

3.2 ไม้สัก ทนแดด ทนฝน ใช้ภายนอกได้

ไม้สักสามารถรับมือกับสภาพอากาศรุนแรง เช่น ฝนตกหนัก แดดแรง หรือความชื้นสูงได้ดี โดยไม่บิดงอง่าย อายุการใช้งานยาวนานกว่า 20–30 ปีในสภาพปกติ

3.3 สีไม้สักและลายไม้สักสวยงาม

สีไม้สักมีตั้งแต่เหลืองทองจนถึงน้ำตาลเข้ม มีเส้นลายสวยงามเป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกอบอุ่น หรูหรา และสง่างาม สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ได้อย่างชัดเจน

3.4 งานแปรรูปง่าย ไม่แตก ไม่บิ่น

ไม้สักแม้เป็นไม้เนื้อแข็ง แต่มีความเหนียวพอเหมาะ จึงสามารถแปรรูป เจาะ ไส หรือขัดได้ง่าย ไม่บิ่น ไม่แตก และสามารถยึดติดกับวัสดุอื่นได้ดี เช่น โลหะ หรือแกนยึดต่าง ๆ

3.5 มีน้ำหนักพอดี ไม่หนักเกินไป

ไม้สักมีความหนาแน่นประมาณ 650–750 กก./ลบ.ม. ซึ่งเป็นค่าที่พอดีสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความมั่นคง แต่ยังคงสามารถขนย้ายได้สะดวก

4. ขนาดและลักษณะของไม้สักในท้องตลาด

ไม้สักในท้องตลาดมีหลากหลายขนาดและรูปแบบเพื่อให้ตอบโจทย์งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานโครงสร้าง งานโชว์ลาย หรือการตกแต่งพื้นผิว

  • ไม้สักแปรรูป: หนา 1″–2″ กว้าง 4″–12″ ยาว 6–10 ฟุต เหมาะกับทำโต๊ะ เก้าอี้ บานประตู ฯลฯ

  • ไม้สักเส้น / ไม้จ๊อย: ความยาวต่อเนื่องเพื่อใช้ในงานบัว ขอบหน้าบาน หรือตีโครง

  • ไม้สักแผ่นบาง (Teak Veneer): หนา 0.2–0.6 มม. ใช้ปิดผิวเฟอร์นิเจอร์ ตู้ ครอบขอบลิ้นชัก ฯลฯ

  • ไม้สักโครง / ไม้สักประกอบ: ใช้ทำโครงงานบิวท์อิน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความพรีเมียมและทนปลวก

5. ประเภทไม้สักที่ควรรู้

ไม้สักที่ใช้ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่ง มักแบ่งได้เป็น 2 แหล่งที่มาใหญ่ ๆ คือ ไม้สักพม่า และ ไม้สักสวนป่าและยังมีการแบ่งเกรดตามคุณภาพของเนื้อไม้และลายไม้ด้วยเช่นกัน

5.1 ไม้สักพม่า (Burmese Teak)

ไม้สักพม่า ส่วนมากจะเป็นไม้สักเรกด A เพราะเป็น ไม้สักธรรมชาติที่ปลูกขึ้นเองตามธรรมชาติในประเทศพม่า ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งไม้สักที่ดีที่สุดในโลก

  • ลักษณะเด่น: เนื้อไม้แน่น ลายชัด มีสีทองเข้มและมีน้ำมันตามธรรมชาติมาก ซึ่งช่วยให้เนื้อไม้มีความทนทานต่อความชื้น ปลวก และแมลงต่าง ๆ ได้ดีเยี่ยม

  • ข้อดี: ทนแดด ทนฝน มีอายุการใช้งานยาวนาน 20–50 ปีขึ้นไปโดยไม่เสียรูป

  • เหมาะกับ: งานภายนอกที่ต้องการความแข็งแรงสูง เช่น พื้นไม้ภายนอก เฟอร์นิเจอร์สนาม รวมถึงงานโชว์ผิวระดับพรีเมียม เช่น บานประตู แผงผนัง และเฟอร์นิเจอร์หรู


5.2 ไม้สักสวนป่า (Plantation Teak)

ไม้สักสวนป่า สวนใหญ่เป็น ไม้สักเกรดB เพราะเป็นไม้สักที่ปลูกขึ้นภายในประเทศไทย ภายใต้การควบคุมของกรมป่าไม้หรือหน่วยงานภาคเอกชนที่ได้รับอนุญาต โดยมักใช้ระยะเวลาในการปลูกราว 20–25 ปี จึงนำมาใช้งานได้

  • ลักษณะเด่น: ลายไม้ยังคงสวยในระดับหนึ่ง สีทองอ่อนกว่าไม้สักพม่า และมีความมันน้อยกว่า

  • ข้อดี: ราคาย่อมเยากว่าไม้สักพม่า มีให้เลือกหลายขนาดและเกรด ตอบโจทย์งานที่ต้องใช้จำนวนมาก

  • เหมาะกับ: งานเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป งานบิวท์อิน งานตกแต่งภายใน และโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องการควบคุมต้นทุน แต่ยังคงคุณภาพและความสวยงาม ไม้สักสวนป่ายังนำไปใช้ทำเป็น ไม้โครง เยอะ เพราะไม่ต้องโชว์ลายไม้

6. วิธีดูแลไม้สักให้ใช้งานได้ยาวนาน

แม้ไม้สักจะขึ้นชื่อว่าเป็นไม้เนื้อแข็งที่ทนทานต่อปลวก ความชื้น และสภาพอากาศได้ดีเป็นพิเศษ แต่การดูแลอย่างถูกวิธีจะช่วย ยืดอายุการใช้งาน และคงความสวยงามของเนื้อไม้ให้ดูใหม่เสมอ โดยเฉพาะในงานที่โชว์ผิวไม้ หรือใช้งานภายนอกอาคาร ซึ่งต้องการการดูแลอย่างเหมาะสม ดังนี้:

6.1 หมั่นทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ

ใช้ ผ้าแห้งเนื้อนุ่ม หรือ ไม้ขนไก่ เช็ดฝุ่นออกจากผิวไม้เป็นประจำ เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่อาจฝังตัวในเนื้อไม้

  • หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าชุบน้ำหมาดโดยตรง หากจำเป็นต้องเช็ดด้วยความชื้น ควรเช็ดซ้ำด้วยผ้าแห้งทันที
  • ไม่ควรใช้ผ้าหยาบหรือแปรงแข็ง เพราะอาจทำให้ผิวไม้เป็นรอยโดยไม่รู้ตัว

6.2 ทาน้ำมันไม้สักเป็นระยะ เพื่อคงความชุ่มชื้นของเนื้อไม้

ไม้สักธรรมชาติเมื่อผ่านการใช้งานหรือโดนแสงแดดนาน ๆ อาจเกิดการแห้งซีดหรือสีจางลง

  • แนะนำให้ ทาน้ำมันไม้สักทุก 6 เดือน – 1 ปี เพื่อบำรุงผิวไม้ ให้คงความมันวาว สีทองธรรมชาติ และป้องกันการแตกลายงา
  • สามารถเลือกใช้น้ำมันเฉพาะไม้ (Teak Oil หรือ Danish Oil) ที่ซึมเข้าสู่เนื้อไม้โดยไม่ทำให้เกิดคราบเหนียว

6.3 หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีแรง หรือการขัดผิวแบบรุนแรง

สารทำความสะอาดบางประเภท โดยเฉพาะที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่างแรง อาจกัดผิวไม้จนเกิดรอยด่างหรือทำลายสารเคลือบบนผิว

  • หากจำเป็นต้องเช็ดคราบมันหรือคราบฝังแน่น ให้ใช้ น้ำสบู่อ่อน ๆ ผสมน้ำ แล้วเช็ดเบา ๆ ด้วยผ้านุ่ม
  • หลีกเลี่ยงการขัดแรงด้วยฟองน้ำหยาบหรือแปรงเหล็กโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ไม้เป็นรอยถาวร

6.4 สำหรับงานไม้สักภายนอก ควรมีการป้องกันเพิ่มเติม

แม้ไม้สักจะทนแดดและฝนได้ดีกว่าไม้ทั่วไป แต่ถ้าต้องติดตั้งในพื้นที่กลางแจ้ง เช่น ระเบียง, เฟอร์นิเจอร์สนาม หรือซุ้มไม้ ควรมีการดูแลเพิ่มเติม

  • ติดตั้งใต้ชายคา หรือในตำแหน่งที่พอมีร่มเงา จะช่วยลดความร้อนและความชื้นที่กระทบไม้โดยตรง
  • เคลือบน้ำยาเฉพาะไม้ภายนอก เช่น ยูรีเทนสูตรภายนอก หรือทาน้ำยากัน UV เพื่อเพิ่มชั้นป้องกัน
  • หมั่นตรวจสอบรอยแตกร้าวหรือรอยผิวลอก เพื่อซ่อมแซมและเคลือบซ้ำก่อนเกิดความเสียหายสะสม
  •  

7. ความยั่งยืนของ ไม้สัก

หนึ่งในความเข้าใจผิดคือ “ไม้สักทำลายป่า”
ความจริงคือ…ประเทศไทยมีการควบคุมการปลูกไม้สักในระบบ “สวนป่าตามกฎหมาย” ซึ่งช่วยให้สามารถใช้ไม้ได้อย่างยั่งยืน พร้อมการฟื้นฟูป่าธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง

ไม้สักสวนป่าที่ได้มาตรฐานจะได้รับเครื่องหมาย FSC หรือการรับรองแหล่งที่มา เพื่อให้มั่นใจว่าการผลิตไม้ไม่ทำลายระบบนิเวศ

ไม้สักยังคงเป็น “ราชาแห่งไม้” ที่รวมทั้งความงาม ความแข็งแรง และความยั่งยืนไว้ในวัสดุเดียว หากคุณกำลังวางแผนทำเฟอร์นิเจอร์ บิวท์อิน หรืองานตกแต่งที่เน้นคุณภาพ ไม้สักคือคำตอบที่ไม่เคยล้าสมัย สนใจไม้สัก เกรด A เกรด B ติดต่อ วิวัฒน์ชัย ค้าไม้ 

Reference : https://www.wood-database.com/teak/

ติดต่อ วิวัฒน์ชัย ค้าไม้ :
Line OA : @viwatchai
Social Media Link : https://linktr.ee/viwatchai.kamai
Google Map : https://maps.app.goo.gl/9SUJ3URFxuuzTVc19
Call : 02-585-7575, 02-585-6950