พื้นลามิเนต vs พื้น Engineering Wood ต่างกันยังไง? เจาะลึกคุณสมบัติของแต่ละประเภท

พื้นลามิเนต vs พื้น Engineering Wood ต่างกันยังไง? เจาะลึกคุณสมบัติของแต่ละประเภท
พื้นลามิเนต vs พื้น Engineering Wood ต่างกันยังไง? เจาะลึกคุณสมบัติของแต่ละประเภท

        เมื่อพูดถึงการเลือกพื้นไม้สำหรับบ้านหรือคอนโด หลายคนอาจลังเลระหว่าง “ พื้นลามิเนต ” และ “พื้น Engineering Wood” เพราะทั้งสองแบบต่างก็มีลวดลายสวยงามคล้ายไม้จริง แถมยังติดตั้งง่ายและดูทันสมัย แต่รู้ไหมว่าเบื้องหลังความสวยงามนั้น ทั้งสองประเภทมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในด้านโครงสร้าง อายุการใช้งาน ความทนทานต่อความชื้น และความคุ้มค่าในระยะยาว บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกคุณสมบัติของแต่ละประเภท เพื่อช่วยให้คุณเลือกพื้นไม้ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าที่สุด

1.พื้นลามิเนตกับพื้น Engineering Wood คืออะไร?

       พื้นลามิเนตคือ วัสดุปูพื้นที่ผลิตจากไม้บดอัดแน่น HDF แล้วเคลือบด้วยฟิล์มลายไม้และชั้นกันรอย เพื่อให้ดูคล้ายพื้นไม้จริง

       พื้น Engineering Wood (พื้นไม้เอ็นจิเนียร์) คือวัสดุปูพื้นที่มี “ผิวหน้าเป็นไม้จริง” (Veneer) แล้วประกบกับแกนไม้หลายชั้นหรือไม้ประกอบที่วางแนวสลับกัน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและลดการบิดโก่งของไม้

2.โครงสร้างของ พื้นลามิเนต กับพื้น Engineering Wood

โครงสร้างของ พื้นลามิเนต และพื้น Engineering Wood เปรียบเทียบชั้นวัสดุและการประกอบแต่ละประเภท

โครงสร้างชั้น (Layer Structure) ของพื้นไม้ทั้ง 2 ประเภท พร้อมยกตัวอย่างแบรนด์ Kronoswiss (พื้นลามิเนต) และ Imondi (พื้นไม้เอ็นจิเนียร์)

2.1 โครงสร้างชั้นของพื้นลามิเนต Kronoswiss

พื้นลามิเนต Kronoswiss จากสวิตเซอร์แลนด์ มีจุดเด่นที่โครงสร้างหนาแน่น กันน้ำดี และผิวหน้าแข็งแรง ทนรอยขีดข่วน เหมาะกับงานรีโนเวทบ้านหรือพื้นที่ใช้งานหนัก

  1. Overlay Layer (ชั้นเคลือบกันรอย) ชั้นบนสุด เคลือบด้วยเมลามีนเรซิน ช่วยให้ผิวแข็งแรง ทนรอยขีดข่วนสูง และทำความสะอาดง่าย
  2. Decor Layer (ชั้นลายไม้) ชั้นกระดาษพิมพ์ลวดลายไม้คุณภาพสูง ให้ความสวยงามเหมือนไม้จริง
  3. HDF Core (แผ่นใยไม้ความหนาแน่นสูง) แกนกลางเป็น HDF (High Density Fiberboard) แข็งแรง ทนแรงกระแทก และรักษารูปทรงได้ดี
  4. Balancing Layer (ชั้นบาลานซ์ด้านล่าง) เป็นแผ่นเมลามีนหรือฟิล์มรองพื้น ช่วยรักษาความสมดุลของแผ่น ไม่ให้บิดงอเมื่อเจอความชื้น

2.2. โครงสร้างชั้นของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์

1.ผิวหน้าไม้จริง White Oak Veneer (หนา 3 มม.) ใช้ไม้ White Oak เกรดพรีเมียม ซึ่งมีความแข็งแรงและทนทานกว่าไม้โอ๊คทั่วไป ความหนา 3 มม. เหมือนไม้จริงเต็มแผ่น ให้สัมผัสและลวดลายไม้ธรรมชาติอย่างแท้จริง

2.แกนกลาง Multi-Layer Plywood (หนา 11 มม.)

  • ใช้ ไม้อัดหลายชั้นวางสลับเสี้ยน (Cross-Grain Plywood)
  • โครงสร้างไม้สลับแนวเสี้ยนช่วยลดการขยายตัวและการโก่งตัวจากความชื้นหรืออุณหภูมิ

สรุปความแตกต่างระหว่าง พื้นลามิเนต  Kronoswiss และพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi

         พื้นลามิเนต Kronoswiss และพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi ต่างก็เป็นวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มบ้านยุคใหม่ แต่มีจุดเด่นและคุณสมบัติที่แตกต่างกันชัดเจนทั้งด้านโครงสร้าง วัสดุ และความรู้สึกในการใช้งาน โดย Kronoswiss เป็น พื้นลามิเนต จากสวิตเซอร์แลนด์ที่เน้นโครงสร้างแบบสังเคราะห์ ใช้แกนกลางเป็นแผ่น HDF (High Density Fiberboard) เคลือบผิวหน้าด้วยเมลามีนเรซินเพื่อให้ทนรอยขีดข่วน ดูแลง่าย และมีลวดลายไม้พิมพ์ที่สวยงาม เหมาะกับงานรีโนเวท งบประหยัด หรือพื้นที่ที่มีการใช้งานหนักเป็นหลัก

       ในขณะที่ Imondi เป็นพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ระดับพรีเมียม ที่ใช้ ไม้จริง White Oak หนา 3 มม. เป็นผิวหน้า ให้สัมผัสใกล้เคียงไม้เนื้อแข็งแท้ ๆ ทั้งในแง่ลวดลายและอุณหภูมิสัมผัส ตัวแกนกลางเป็นไม้อัดหลายชั้นวางสลับเสี้ยน ช่วยลดการบิดโก่งเมื่อเจอความชื้นหรือเปลี่ยนอุณหภูมิ ทำให้พื้นมีเสถียรภาพสูง ใช้งานได้นานหลายสิบปีโดยไม่เสียรูป

3.คุณสมบัติของ พื้นลามิเนต กับ พื้น Engineering Wood

เปรียบเทียบคุณสมบัติของพื้นลามิเนตและพื้น Engineering Wood เช่น ความทนทาน การดูแล และการใช้งาน

3.1 พื้นลามิเนต (Laminate Flooring)

  • ผลิตจาก แผ่นใยไม้อัดแน่น (HDF) เคลือบผิวด้วยเมลามีนเรซิน
  • มีลวดลายไม้พิมพ์ที่ดูเสมือนไม้จริง
  • ผิวหน้า ทนรอยขีดข่วนและแรงกระแทกสูง อ่านบทความ เกรดของพื้นลามิเนต ได้ที่นี่
  • ติดตั้งง่าย ด้วยระบบคลิกล็อก ไม่ต้องใช้กาว
  • ดูแลรักษาง่าย ทำความสะอาดได้ด้วยไม้ถูพื้นหมาด
  • ข้อจำกัด: ไม่ควรติดตั้งในพื้นที่เปียกหรือเสี่ยงต่อน้ำขัง เพราะอาจพองหรือโก่งตัว

3.2 พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood)

  • ชั้นบนสุดเป็น ไม้จริง (เช่น White Oak, Walnut, Ash) หนา 2–4 มม.
  • แกนกลางทำจาก ไม้อัดหลายชั้นวางสลับเสี้ยน (Cross-Laminated Plywood)
  • ให้ สัมผัสธรรมชาติแท้ ๆ ทั้งลายไม้และอุณหภูมิสัมผัส
  • มีความเสถียรสูง ไม่โก่งหรือบิดตัวเมื่อเจอความชื้น
  • สามารถ ขัดผิวหน้าและทำสีใหม่ได้ ช่วยยืดอายุการใช้งาน
  • ข้อจำกัด: ราคาเริ่มต้นสูงกว่าพื้นลามิเนตหรือกระเบื้องยาง

พื้นลามิเนต มีคุณสมบัติเด่นที่โครงสร้างผลิตจากแผ่นใยไม้อัดแน่น (HDF) เคลือบผิวด้วยเมลามีนเรซิน ทำให้ผิวหน้าทนรอยขีดข่วนและแรงกระแทกได้ดี ส่วนพื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีจุดเด่นที่ชั้นบนสุดทำจากไม้จริง เช่น White Oak หรือ Walnut หนา 2–4 มม. ให้สัมผัสที่เป็นธรรมชาติแท้ ๆ ทั้งในลวดลายและอุณหภูมิสัมผัส เสริมด้วยแกนกลางไม้อัดหลายชั้นวางสลับเสี้ยนที่ช่วยเพิ่มความเสถียร ลดการบิดตัว

4.ราคาของ พื้นลามิเนต กับ พื้น Engineering Wood

3.1 พื้นลามิเนต : ราคาโดยประมาณ 300-2,000/ตร.ม. เฉพาะสินค้า

3.2 พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ : ราคาโดยประมาณ 1,800-2,000/ตร.ม. เฉพาะสินค้า

ราคา พื้นลามิเนต เมื่อเทียบกับ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ จะมีราคาสูงกว่า ขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ที่ใช้เป็นวีเนียร์ ชั้นโครงสร้าง และเกรดการผลิต โดยต้นทุนที่สูงขึ้นของพื้นเอ็นจิเนียร์มาจากการใช้ ไม้จริง (Veneer) เป็นชั้นผิวหน้า ซึ่งต้องผ่านการอบแห้ง คัดเกรด และแปรรูปอย่างประณีต นอกจากนี้ยังใช้แกนกลางที่เป็น ไม้อัดสลับชั้นคุณภาพสูง ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรของพื้นไม้ในระยะยาว

 

สนใจ สินค้าพื้นลามิเนต คลิกที่นี่

5.ความทนทานในการทนรอย

ภาพทดสอบการขีดข่วนบนพื้นลามิเนตเพื่อแสดงระดับความทนทานต่อรอยขีดข่วน

ภาพการทดลองการขีดข่วน ของพื้นลามิเนต

การทดลองขีดข่วนพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เปรียบเทียบกับพื้นลามิเนตด้านความทนทานต่อรอยขีดข่วน

ภาพการทดลองการขีดข่วน ของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์

ในแง่ของความทนทานต่อรอยขีดข่วน พื้นลามิเนตมีจุดเด่นที่ชัดเจน เนื่องจากผิวหน้าถูกเคลือบด้วยเมลามีนเรซินชนิดพิเศษ ซึ่งมีความแข็งระดับสูง (ตามมาตรฐาน AC Rating) ทำให้ทนต่อรอยขีดข่วนจากรองเท้า เฟอร์นิเจอร์ หรือสัตว์เลี้ยงได้ดีเยี่ยม เหมาะกับพื้นที่ที่มีการใช้งานหนักหรือคนเดินผ่านบ่อย ในขณะที่พื้นไม้เอ็นจิเนียร์แม้จะมีชั้นผิวหน้าเป็นไม้จริงที่ให้ความสวยงามและสัมผัสเป็นธรรมชาติกว่า แต่ก็มีความแข็งของผิวหน้าที่น้อยกว่าลามิเนต และมีโอกาสเกิดรอยได้ง่ายกว่าเมื่อต้องเจอกับการใช้งานรุนแรง อ

6. พื้นที่การใช้งานของ พื้นลามิเนต และพื้นไม้เอ็นจิเนียร์

พื้นที่ที่เหมาะกับพื้นลามิเนตและพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือพื้นที่ภายในบ้าน

6.1 พื้นลามิเนต (Laminate Flooring)

  • ห้องนอน, ห้องนั่งเล่น, โถงทางเดิน, โฮมออฟฟิศ
  • บ้านพักอาศัยทั่วไปหรือคอนโดที่ต้องการลุคไม้ธรรมชาติในราคาประหยัด
  • เหมาะกับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง เพราะผิวหน้าทนรอยขีดข่วนจากเล็บสุนัข/แมวได้ดี
  • พื้นที่แห้งที่ไม่มีความชื้นสะสม
  • ไม่ควรใช้ในพื้นที่เปียก เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว หรือบริเวณที่มีโอกาสน้ำขัง

6.2 พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Floor)

  • ห้องนอน, ห้องรับแขก, ห้องทำงาน, ห้องแต่งตัว
  • พื้นที่ที่ต้องการ สัมผัสไม้จริงและความหรูหราธรรมชาติ
  • ใช้ได้กับพื้นที่ความชื้นปานกลาง (เช่น ห้องที่เปิดแอร์) เพราะมีโครงสร้างไม้อัดสลับเสี้ยนที่ช่วยลดการโก่ง
  • ไม่ควรใช้ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงหรือน้ำขัง เช่น ห้องน้ำหรือพื้นระเบียง

               หากคุณกำลังมองหาพื้นไม้ที่ทั้งสวย ทน และตอบโจทย์บ้านที่มีน้องหมา น้องแมว พื้นลามิเนต Kronoswiss จาก VK Floor คือคำตอบที่ใช่ที่สุด! ด้วยผิวหน้าที่เคลือบ เมลามีนเรซินคุณภาพสูงจากสวิตเซอร์แลนด์ Kronoswiss มีความแข็งระดับ AC4–AC5 ทนต่อรอยขีดข่วนจากเล็บสัตว์เลี้ยงได้ดีเยี่ยม ไม่เป็นรอยง่ายแม้ใช้งานทุกวัน แถมยังติดตั้งง่าย ดูแลสะดวก และมีลวดลายไม้ที่สวยเสมือนไม้จริง จึงเหมาะทั้งในแง่การใช้งานและความสวยงามในบ้านของคุณ

ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นพองหรือบวม เพราะ Kronoswiss ผ่านมาตรฐานยุโรปเรื่องความเสถียรและทนชื้นระดับสูง เหมาะสำหรับห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือทุกพื้นที่ภายในบ้านที่ต้องการความทนทานเป็นพิเศษ

 

ref : https://home.tarkett.co.uk

Google Map
Line
Line
Google Map