ไม้แปรรูปคืออะไร? เจาะลึกคุณสมบัติ ข้อดี และ ข้อเสียของไม้แต่ละชนิด

ไม้แปรรูปคืออะไร? เจาะลึกค่าความแข็ง ความเหนียว และข้อดีข้อเสียของไม้แต่ละชนิด

ไม้แปรรูปคืออะไร? เจาะลึกค่าความแข็ง ความเหนียว และข้อดีข้อเสียของไม้แต่ละชนิด

         ในโลกของการออกแบบภายในและงานช่างไม้ “ ไม้แปรรูป ” คือหัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะรับประทานอาหารที่ใช้กันทุกวัน ตู้เสื้อผ้าที่สวยงาม หรือพื้นไม้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและหรูหรา วัสดุที่อยู่เบื้องหลังความงามเหล่านี้คือ ไม้แปรรูป คุณภาพดี ที่ผ่านการคัดสรรและแปรรูปอย่างพิถีพิถัน

         บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักโลกของ ไม้แปรรูป ให้ลึกยิ่งขึ้น ตั้งแต่นิยามของไม้แปรรูป วิธีจำแนกประเภท ความแตกต่างระหว่างไม้เนื้ออ่อนกับไม้เนื้อแข็ง ไปจนถึงการวิเคราะห์ค่าทางวิศวกรรม เช่น ความแข็ง (Hardness), ความยืดหยุ่น (Modulus of Elasticity), การทนน้ำ และค่าความต้านทานแรงต่าง ๆ รวมถึงจุดเด่น-จุดด้อยของไม้ยอดนิยมกว่า 9 ชนิด พร้อมแนะนำวิธีเลือกไม้ให้เหมาะกับงานที่คุณกำลังจะเริ่ม

1.ไม้แปรรูป คืออะไร?

          ไม้แปรรูป (Lumber หรือ Sawn Timber) คือไม้ที่ได้มาจากการแปรรูปไม้ท่อนซุงโดยการเลื่อย ถาก หรือไส เพื่อให้ได้รูปทรงที่เหมาะสมกับการนำไปใช้งานต่อ ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง งานตกแต่งภายใน งานเฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่งานหัตถกรรม โดยไม้แปรรูปจะถูกตัดแต่งให้เป็นชิ้นไม้ที่มีขนาดมาตรฐาน ซึ่งพร้อมสำหรับใช้งานหรือแปรรูปต่อก่อนนำไปใช้ ไม้แปรรูปมักผ่านกระบวนการอบแห้ง (Kiln-Dried) เพื่อให้ค่าความชื้นลดลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ป้องกันการหด บิด หรือแตกร้าวเมื่อใช้งานจริง

การจำแนกไม้แปรรูป แบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก:

  • ไม้เนื้ออ่อน (Softwood) เช่น ไม้สน ไม้เบญจพรรณ – ใช้งานง่าย ราคาถูก
  • ไม้เนื้อแข็ง (Hardwood) เช่น ไม้ยางพารา ไม้เต็ง – เหมาะกับงานที่ต้องการความแข็งแรง
  • ไม้เนื้อแกร่ง (Very hardwood) เช่น ไม้แดง ไม้ประดู่ – ทนทานสูง เหมาะกับโครงสร้างภายนอก

         นอกจากนี้ ไม้ต่างประเทศก็คือไม้แปรรูป ประเภทหนึ่งเช่นกัน ซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศโดยผ่านกระบวนการแปรรูปและอบแห้งตามมาตรฐานสากล จึงมีคุณภาพสูง ทั้งในด้านความแข็งแรง ความสวยงามของลายไม้ และความคงตัว มักใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม งานบิวต์อิน และโครงการที่ต้องการความหรูหราและมีระดับ ใครที่กำลัง สนใจสินค้าไม้แปรรูป สามารถดูได้ที่นี่ เลย

2.เกรดไม้ในไทย (โดยทั่วไปและภายในวงการค้าไม้)

  • เกรด A (FAS) ไม่มีตาดำ ไม่มีไส้ไม้ ไม่มีรอยโป๊ว ไม้เรียบ ลายสวยมาก เหมาะกับงานโชว์ผิว
  • เกรด B มีตาดำบ้าง ไม่มีไส้ ไม่มีโป๊ว ลายไม้ดูดี เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป
  • เกรด C มีตาดำ มีไส้ มีรอยโป๊ว เหมาะกับงานโครงภายใน หรือปิดผิว
  • เกรดรอง/ไม้คัด ตำหนิเยอะ ปกติจะถูกนำไปใช้ในงานที่ไม่ต้องการความสวยงาม

3.มาตรฐานสากล: NHLA Grading (ไม้เนื้อแข็งจากอเมริกา)

โดย National Hardwood Lumber Association (NHLA) ใช้ระบบที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดสำหรับ ไม้เนื้อแข็งนำเข้า เช่น Walnut, Oak, Maple, Cherry ฯลฯ

เกรดความหมายลักษณะ

  • FAS (First and Seconds)

เป็นเกรดสูงสุดของไม้เนื้อแข็ง มีเนื้อไม้เรียบเนียน ไม่มีตาดำ รอยแตก หรือไส้ไม้ และสามารถใช้งานได้อย่างน้อย 83.3% ของพื้นที่หน้าผิว เหมาะสำหรับงานโชว์ผิวไม้ เช่น เฟอร์นิเจอร์หรูหรือไม้บิวต์อินระดับพรีเมียม

  • Select (หรือ F1F)

เกรดรองจาก FAS โดยที่หนึ่งด้านของแผ่นไม้จะคุณภาพเทียบเท่า FAS ส่วนอีกด้านใกล้เคียงกับ Common #1 ใช้งานได้ดีทั้งสองด้าน เหมาะกับงานที่โชว์ไม้หนึ่งด้าน เช่น หน้าบาน ประตู หรือแผงตกแต่ง

  • #1 Common

เป็นเกรดกลาง มีตาไม้หรือรอยตามธรรมชาติบ้าง แต่ยังสามารถใช้งานได้ประมาณ 66.6% ของพื้นที่ เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ได้โชว์ทุกด้าน เช่น โครงตู้ โต๊ะ หรือเก้าอี้

  • #2 Common

มีตำหนิชัดเจนขึ้น ทั้งรอยตาไม้ รอยแตก หรือเสี้ยนไม่สม่ำเสมอ แต่ยังสามารถใช้งานได้อย่างน้อย 50% ของพื้นที่ เหมาะกับงานโครงสร้างเฟอร์นิเจอร์ งานที่ต้องปิดผิวด้วยลามิเนตหรือวีเนียร์

  • #3A / #3B Common

เป็นเกรดต่ำสุด ใช้งานได้จำกัด มีข้อบกพร่องหลายจุด เช่น ตาไม้ใหญ่ ผิวขรุขระ หรือไม้โก่ง เหมาะกับงาน DIY งานฝึกหัด หรืองานไม้ที่ไม่เน้นความสวยงาม

4.ไม้ต่างประเทศที่นิยม

ไม้แอช (Ash Wood) ไม้แปรรูปคุณภาพสูง ใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์และการก่อสร้าง"

4.1 ไม้แอช (Ash Wood)

ข้อดี:

  • น้ำหนักเบา แต่แข็งแรง รับแรงกระแทกได้ดี
  • ลายไม้สวย เสี้ยนตรง ทำสีและขึ้นรูปง่าย
  • เหมาะสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ โมเดิร์น หรือไม้ดัดโค้ง

ข้อเสีย:

  • ไม่ทนปลวกหรือความชื้น ต้องใช้งานภายใน
  • ถ้าอบแห้งไม่ดี อาจบิดงอง่าย

คุณสมบัติเชิงกล

  • Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ): 0.60

จากพฤกษศาสตร์ ไม้แอช บ่งบอกถึงความหนาแน่นปานกลาง เหมาะกับงานที่ต้องการทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักเบา

  • Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%): 673 kg/m³

ช่วยในการประเมินน้ำหนักของเฟอร์นิเจอร์หรือชิ้นงานที่ผลิตจากไม้แอช

  • Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย): 10.70%

บ่งชี้การหดตัวจากไม้สดถึงไม้แห้ง หากอบไม่ดีอาจเกิดการบิดงอ 

  • Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ): 103.425 MPa

วัดความแข็งแรงของไม้เมื่อต้องรับแรงดัด ช่างไม้ใช้วิเคราะห์ความสามารถในการรองรับแรงโค้งหรือการใช้งานโครงสร้าง

  • Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น): 11,977 MPa

เป็นตัวชี้วัดความแข็ง (stiffness) ของไม้ ยิ่งค่าสูง ยิ่งบิดตัวยาก เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความมั่นคง

  • Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้): 51.092 MPa

สำคัญต่อการใช้ไม้รับน้ำหนักในแนวดิ่ง เช่น ขาโต๊ะ เสา คานไม้

  • Hardness (ค่าความแข็ง): 5,871 N

ใช้ประเมินความต้านทานต่อรอยขีดข่วนหรือแรงกระแทก เช่น พื้นไม้ หรือผิวหน้าชั้นบนของโต๊ะ สำหรับสนใจ ซื้อไม้แอช สามารถติดต่อวิวัฒน์ชัยค้าไม้ได้เลย

ไม้แปรรูปจากไม้วอลนัท (Walnut Wood) - วัสดุไม้แปรรูปคุณภาพสูง สำหรับงานตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์

4.2 ไม้วอลนัท (Walnut Wood)

ข้อดี:

  • สีเข้มดูหรูหรา มีลายไม้เฉพาะตัว
  • แข็งพอเหมาะ ไม่เปราะ ใช้ได้นาน
  • เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม หรือบิวต์อิน

ข้อเสีย:

  • ราคาสูง
  • หายากในบางพื้นที่ และสีไม่เสมอกัน

คุณสมบัติเชิงกล

  • Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ): 0.55

บ่งชี้ว่าเป็นไม้เนื้อแข็งระดับกลาง หนักพอสมควรแต่ยังใช้งานง่าย เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรงพอประมาณ

  • Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%):609 kg/m³

น้ำหนักอยู่ในระดับปานกลาง ไม่เบาจนเปราะ และไม่หนักจนขนย้ายยาก เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความหรูหราและแข็งแรง

  • Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย):10.20%

ค่าการหดตัวเมื่อไม้เปลี่ยนจากไม้สดเป็นไม้แห้ง ต้องควบคุมการอบไม้ให้ดี เพื่อลดปัญหาโก่ง บิด งอ ในระยะยาว

  • Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ): 100.677 MPa

ความแข็งแรงต่อแรงดัดอยู่ในระดับดี ใช้ทำงานที่ต้องรับแรง เช่น หน้าท็อปโต๊ะ ชั้นวาง หรือโครงสร้างเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องโชว์ผิวไม้

  • Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น):11,584 MPa

บ่งบอกความแข็งตัวของไม้ (Stiffness) ค่านี้เหมาะกับงานที่ต้องการความมั่นคง ไม่ยืดตัวง่าย เช่น ตู้ โต๊ะ เตียง

  • Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้):52.264 MPa

เหมาะกับการใช้ทำขาโต๊ะ ขาเก้าอี้ หรือโครงเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องรับน้ำหนักแนวดิ่ง

  • Hardness (ค่าความแข็ง):4,492 N

ค่าการต้านทานต่อรอยกดหรือแรงกระแทก เหมาะกับพื้นไม้หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องสัมผัสบ่อย ๆ เช่น มือจับ ตู้ หรือเคาน์เตอร์ สนใจ สินค้าไม้วอลนัทดูได้ที่นี่เลย

ไม้แปรรูป จากไม้เมเปิ้ล (Maple Wood) - ไม้แปรรูปที่มีความทนทานสูงและสีสันที่สวยงาม เหมาะสำหรับการใช้งานในเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่ง

4.3 ไม้เมเปิ้ล (Maple Wood)

ข้อดี:

  • เนื้อแน่นมาก แข็งแรง ทนแรงกระแทกสูง
  • สีอ่อน ขึ้นสีง่าย เหมาะกับงานตกแต่งหรือพื้นไม้
  • เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์หนัก เช่น โต๊ะ เตียง

ข้อเสีย:

  • ยากต่อการขัดและไส เพราะแข็งมาก
  • อาจเกิดรอยสีเหลืองหากโดนความชื้นหรือ UV นาน

คุณสมบัติเชิงกล

  • Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ): 0.63

ค่าความหนาแน่นสูงกว่าไม้ทั่วไป เหมาะกับงานที่ต้องการความแข็งแรงมาก เช่น พื้นไม้ หรือโครงสร้างรับแรง

  • Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%):705 kg/m³

หนักพอสมควร ต้องคำนึงถึงตอนขนย้าย แต่ให้ความมั่นคงกับชิ้นงาน

  • Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย):11.90%

หดตัวค่อนข้างสูง ต้องอบแห้งและควบคุมความชื้นอย่างดี ลดปัญหาโก่งหรือบิดในภายหลัง

  • Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ):108.941 MPa

ความแข็งแรงต่อแรงดัดอยู่ในระดับสูง เหมาะกับงานที่มีการรับน้ำหนัก หรือแรงงอซ้ำ ๆ เช่น พื้น, บันได, โต๊ะ

  • Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น):12,618 MPa

ค่าความแข็งหรือการคืนตัวของไม้ ค่อนข้างสูง เหมาะกับงานที่ต้องการความเสถียร ไม่ยืดหรือยุบตัวง่าย

  • Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้):53.988 MPa

ใช้รองรับน้ำหนักแนวดิ่งได้ดี เช่น เสา ขาโต๊ะ หรือแผงพนังไม้ที่รับน้ำหนัก

  • Hardness (ค่าความแข็ง):6,450 N

ค่าความต้านทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนสูง เหมาะกับพื้นไม้ที่ใช้งานหนัก หรือโต๊ะที่มีแรงกดเป็นประจำ สำหรับใครที่สนใจไม้ เมเปิ้ล ดูสินค้าไม้เมเปิ้ล (Maple Wood) ได้ที่นี่

ไม้บีช (Beech Wood) - ไม้แปรรูป คุณภาพสูงที่มีความแข็งแรง ทนทานและเหมาะสำหรับการใช้งานในงานเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายใน

4.4 ไม้บีช (Beech Wood)

ข้อดี:

  • เสี้ยนไม้ตรง เรียบ เนื้อแน่น
  • ขึ้นรูปง่าย นิยมใช้ในงานอุตสาหกรรม เช่น IKEA
  • สีค่อนข้างสม่ำเสมอ

ข้อเสีย:

  • ไม่ทนน้ำ และบวมง่ายหากอยู่ในที่ชื้น
  • ต้องอบแห้งให้ดี ไม่งั้นจะหดตัวมาก

คุณสมบัติเชิงกล

  • Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ): 0.64

มีความหนาแน่นค่อนข้างสูง ให้ความแข็งแรงดี เหมาะกับงานที่ต้องการความมั่นคง เช่น พื้นไม้หรือโครงสร้างเฟอร์นิเจอร์

  • Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%):721 kg/m³

น้ำหนักค่อนข้างมาก อาจส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายและการรับน้ำหนักของโครงสร้างพื้น

  • Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย): 13.00%

หดตัวสูง ควรอบไม้ให้แห้งสนิทก่อนใช้งาน มิฉะนั้นอาจโก่ง บิด หรือแตกร้าวได้ง่าย

  • Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ):102.736 MPa

มีความแข็งแรงดีต่อแรงดัด เหมาะกับชิ้นส่วนที่มีแรงโค้งงอ เช่น พนักเก้าอี้, บันได, พื้น

  • Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น):11,859 MPa

มีความแข็งปานกลาง ยืดหยุ่นพอสมควร สามารถใช้งานได้ดีในงานเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป

  • Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้):50.334 MPa

รับน้ำหนักจากด้านบนได้ดี ใช้ทำเสา โต๊ะ หรือเฟรมที่ต้องรองรับน้ำหนัก

  • Hardness (ค่าความแข็ง):5,782 N

อยู่ในระดับปานกลาง-สูง ทนต่อรอยขีดข่วนและแรงกด เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์หรือพื้นไม้ที่มีการใช้งานประจำ

หมายเหตุ : ดูสินค้าไม้บีช (Beech Wood) ได้ที่นี่

ไม้มะฮอกกานี (Mahogany Wood) - ไม้แปรรูป คุณภาพสูงที่มีสีสันเข้มและทนทาน เหมาะสำหรับการทำเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งที่ต้องการความหรูหรา

4.5 ไม้มะฮอกกานี (Mahogany Wood)

ข้อดี:

  • สีแดงเข้ม สวยงาม ให้ความรู้สึกคลาสสิก
  • เสี้ยนตรง ขึ้นรูปง่าย ไม้คงตัวดี
  • เหมาะกับงานบิวต์อิน งานหรู งานแกะสลัก

ข้อเสีย:

  • ราคาแพง
  • มีของปลอมเยอะ ต้องระวังแหล่งที่มาของไม้

คุณสมบัติทางกล:

  • Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ): ≈ 0.60

ไม้เนื้อแข็งปานกลาง มีความหนาแน่นสูง เหมาะกับงานที่ต้องการความแข็งแรงและความทนทาน

  • Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%): ≈ 760 kg/m³

น้ำหนักปานกลางถึงหนัก ให้ความมั่นคงกับชิ้นงาน

  • Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ): ≈ 100 MPa

ความแข็งแรงต่อแรงดัดสูง เหมาะกับงานที่ต้องรับแรงดัดหรือแรงงอ

  • Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น): ≈ 8.30 GPa

ความยืดหยุ่นปานกลาง เหมาะกับงานที่ต้องการความเสถียรและไม่ยืดหยุ่นมากเกินไป

  • Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้): ≈ 50 MPa

รองรับแรงกดจากแนวดิ่งได้ดี เช่น เสา โต๊ะ โครงไม้รับน้ำหนัก

  • Hardness (ค่าความแข็ง): ≈ 4,500 N

ทนต่อรอยขีดข่วนและแรงกระแทกได้ดี เหมาะกับพื้นไม้หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานหนัก

ไม้โอ๊ค (Oak Wood) - ไม้แปรรูป คุณภาพสูงที่ทนทานและมีลวดลายที่สวยงาม เหมาะสำหรับเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งภายในที่ต้องการความแข็งแรงและสวยงาม

4.6 ไม้โอ๊ค (Oak Wood)

ข้อดี:

  • แข็งแรงมาก รับน้ำหนักและแรงกระแทกได้ดี
  • ลายไม้เด่นชัด มีเอกลักษณ์
  • ทนต่อแมลงได้ดีเมื่ออบแห้งอย่างเหมาะสม

ข้อเสีย:

  • หนัก ตัดแต่งยาก
  • หากใช้ไม้โอ๊คแดง อาจมีความพรุนสูง ดูดซึมความชื้น

คุณสมบัติเชิงกล

  • Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ):0.63

ความหนาแน่นระดับกลาง-สูง เหมาะกับงานที่ต้องการโครงสร้างมั่นคง เช่น พื้นไม้ หรือเฟอร์นิเจอร์รับน้ำหนัก

  • Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%):705 kg/m³

น้ำหนักปานกลาง อาจไม่เบาเท่าไม้เนื้ออ่อน แต่ให้ความมั่นคงและรู้สึกแข็งแรงเวลาสัมผัส

  • Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย):6.6%

หดตัวน้อยกว่าหลายชนิด ควบคุมง่ายเมื่อลงงานจริง ลดโอกาสโก่งหรือแตกร้าว

  • Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ):98.599 MPa

ความแข็งแรงต่อแรงดัดอยู่ในระดับดี เหมาะกับชิ้นงานที่ต้องรับแรงงอ เช่น ท็อปโต๊ะ หรือบันได

  • Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น):12,549 MPa

มีค่าความแข็ง (stiffness) ค่อนข้างสูง ช่วยให้โครงสร้างไม้มั่นคง ไม่ยุบตัวง่าย เหมาะกับพื้นและเฟรม

  • Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้):46.610 MPa

รองรับแรงกดจากแนวดิ่งได้ดีพอสมควร ใช้กับขาโต๊ะ เสา หรือโครงที่รับน้ำหนัก

  • Hardness (ค่าความแข็ง):5,738 N

ความต้านทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนอยู่ในระดับปานกลาง-สูง เหมาะกับพื้นไม้หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานทุกวัน 

หมายเหตุ : ดูสินค้าไม้โอ็คต่อได้ที่นี่

ไม้เชอร์รี่ (Cherry Wood) - ไม้แปรรูป ที่มีลวดลายสวยงามและสีสันที่อบอุ่น เหมาะสำหรับการทำเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งภายในบ้าน

4.7 ไม้เชอร์รี่ (Cherry Wood)

ข้อดี:

  • สีแดงอมส้ม ลายไม้ละเอียด สวยงาม
  • ผิวเนียน ขึ้นเงาและทำสีได้ดี
  • สีเข้มขึ้นตามอายุ ช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่น

ข้อเสีย:

  • ไม่ทนแดด สีซีดง่าย
  • ไม้ไม่แข็งเท่าเมเปิ้ลหรือโอ๊ค อาจไม่เหมาะกับงานรับแรง

คุณสมบัติเชิงกล

  • Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ):0.50

ความหนาแน่นปานกลาง เหมาะกับงานภายใน ไม่เน้นรับแรงมากนัก เช่น งานตกแต่ง ผนัง หรือบิวต์อิน

  • Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%): 561 kg/m³

ค่อนข้างเบาเมื่อเทียบกับไม้เนื้อแข็งอื่น ช่วยให้งานติดตั้งง่ายและน้ำหนักรวมของเฟอร์นิเจอร์ไม่มาก

  • Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย):9.20%

หดตัวในระดับกลาง ต้องควบคุมความชื้นให้ดี โดยเฉพาะถ้าใช้งานในสภาพอากาศแปรปรวน

  • Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ):84.809 MPa

แข็งแรงพอสมควรต่อแรงดัด แต่ยังไม่เหมาะกับงานที่รับแรงมากหรือซ้ำ ๆ

  • Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น):10,274 MPa

ไม่แข็งมากนัก เหมาะกับงานตกแต่งทั่วไป ไม่แนะนำสำหรับโครงสร้างที่ต้องการความมั่นคงสูง

  • Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้):49.023 MPa

รองรับแรงกดในแนวดิ่งได้ระดับปานกลาง เหมาะกับขาโต๊ะหรือกรอบที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก

  • Hardness (ค่าความแข็ง):4,226 N

มีค่าความต้านทานแรงกระแทกและรอยขีดข่วนในระดับต่ำถึงกลาง แนะนำสำหรับพื้นที่ที่ไม่โดนเหยียบหรือกระแทกบ่อย

หมายเหตู : ดูสินค้าไม้เชอร์รี่ (Cherry Wood)

ไม้สน (Pine Wood) - ไม้แปรรูป ที่มีความเบาและทนทาน เหมาะสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายใน

4.8 ไม้สน (Pine Wood)

ข้อดี:

  • น้ำหนักเบา ราคาถูก หาง่าย
  • ทำงานง่าย ขึ้นรูปไว นิยมใช้ในเฟอร์นิเจอร์ DIY
  • มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ

ข้อเสีย:

  • เป็นไม้เนื้ออ่อน ขีดข่วนง่าย
  • ไม่ทนปลวก ต้องอาบน้ำยาหรือเคลือบก่อนใช้งาน

คุณสมบัติทางกลและทางกายภาพ:

  • Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ): ≈ 0.43

ไม้มีน้ำหนักเบาถึงปานกลาง ทำให้ขนย้ายง่าย เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ DIY หรืองานตกแต่งทั่วไป

  • Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%): ≈ 505 kg/m³

ค่อนข้างเบา ใช้งานง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการงานไม้แบบไม่ต้องรับแรงมาก

  • Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย): ≈ 10%

หดตัวปานกลาง หากอบแห้งไม่ดีอาจเกิดการบิดหรือแตกร้าว ต้องควบคุมความชื้นก่อนใช้งาน

  • Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ): ≈ 65 MPa

รับแรงดัดพอใช้ได้ เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่รับแรงหนัก เช่น ชั้นวางของ ตู้

  • Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น): ≈ 8,500 MPa

ไม้มีความยืดหยุ่นค่อนข้างดี เหมาะกับงานโครงสร้างที่ต้องการการคืนตัวหรือไม่ต้องแข็งมาก

  • Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้): ≈ 40 MPa

รับแรงกดพอประมาณ เหมาะกับโครงสร้างเบา เช่น ขาโต๊ะ หรือชั้นไม้

  • Hardness (ค่าความแข็ง):≈ 2,000 N

ค่าความแข็งไม่สูง ขีดข่วนได้ง่าย ต้องเคลือบผิวหากต้องการใช้งานนานหรือในพื้นที่เปียก

ไม้ป็อปล่า (Poplar Wood) - ไม้แปรรูป ที่มีน้ำหนักเบาและความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับการทำเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายในที่ต้องการวัสดุที่ทนทานและราคาไม่สูง

4.9 ไม้ป็อปล่า (Poplar Wood)

ข้อดี:

  • น้ำหนักเบา ทำงานง่าย
  • สีอ่อน ขึ้นสีและพ่นสีง่าย เหมาะกับงานตกแต่ง
  • ราคาไม่แพงมาก นิยมใช้เป็นโครงภายในเฟอร์นิเจอร์

ข้อเสีย:

  • ลายไม้ไม่สวยมาก
  • ไม่แข็งแรงเท่าไม้เนื้อแข็งอื่น ๆ ไม่เหมาะกับงานรับแรงโดยตรง

คุณสมบัติเชิงกล

  • Specific Gravity ความถ่วงจำเพาะ: ≈ 0.36

เป็นไม้เนื้ออ่อน น้ำหนักเบา เหมาะกับงานที่ไม่ต้องการรับน้ำหนักมาก เช่น โครงภายในเฟอร์นิเจอร์ หรือชิ้นงานตกแต่ง

  • Average Weight น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%: ≈ 452 kg/m³

น้ำหนักเบา ช่วยให้ง่ายต่อการขนย้ายและติดตั้ง

  • Average Volume Shrinkage อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย: ≈ 12%

มีการหดตัวค่อนข้างสูงเมื่อแห้ง ควรอบแห้งและควบคุมความชื้นอย่างเหมาะสมเพื่อลดปัญหาการบิดงอหรือแตกร้าว

  • Modulus of Rupture ค่าความต้านทานการหักงอ: ≈ 64 MPa

ความแข็งแรงต่อแรงดัดอยู่ในระดับต่ำมาก

  • Modulus of Elasticity ค่าความยืดหยุ่น : ≈ 10,200 MPa

ความแข็งหรือการคืนตัวของไม้ในระดับปานกลาง เหมาะกับงานที่ต้องการความเสถียรพอสมควร

  • Compressive Strength ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้ : ≈ 36 MPa

สามารถรองรับน้ำหนักแนวดิ่งได้ดีในระดับหนึ่ง เหมาะกับงานที่มีแรงกดปานกลาง

  • Hardness ค่าความแข็ง : ≈ 2,100 N

ความต้านทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง ไม่เหมาะกับพื้นไม้ที่ใช้งานหนัก

หมายเหตุ : ดูสินค้า ไม้ป็อปล่า Poplar Wood

ref : https://www.americanhardwood.org/en/american-hardwood/american-ash

5.ไม้ไทยที่นิยม

5.1  ไม้สัก (Teak Wood)

ข้อดี:

  • ทนปลวกตามธรรมชาติ (มีน้ำมันในเนื้อไม้)
  • ทนน้ำ ทนชื้น เหมาะกับงานภายนอก
  • ไม้แข็งแรง ใช้งานได้นานหลายสิบปี
  • ผิวสัมผัสสวย ลายไม้หรูหรา

ข้อเสีย:

  • ราคาสูง
  • หาของแท้ยากในตลาดทั่วไป
  • มีไม้เลียนแบบมาก ต้องระวังแหล่งซื้อ

หมายเหตุ : ดูสินค้า ไม้สัก (Teak Wood)

5.2 ไม้ยางพารา (Rubberwood)

ข้อดี:

  • ราคาย่อมเยา เหมาะกับงานทั่วไป
  • น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย
  • สีสว่าง ขัดทำสีได้หลากหลาย

ข้อเสีย:

  • ไม่ทนปลวก หากไม่ผ่านกระบวนการอบ/เคลือบ
  • ทนความชื้นต่ำ
  • มีโอกาสบิดงอง่ายถ้าไม่อบแห้งดี

5.3 ไม้เต็ง (Teng Wood)

ข้อดี:

  • แข็งแรง ทนแรงกระแทก เหมาะกับงานโครงสร้าง
  • ทนแดด ทนฝน
  • อายุการใช้งานยาวนานมาก

ข้อเสีย:

  • ผิวไม้หยาบ ไม่เหมาะกับงานตกแต่งละเอียด
  • หนักมาก เคลื่อนย้ายลำบาก
  • แปรรูปยาก ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ

5.4 ไม้แดง (Rosewood)

ข้อดี:

  • แข็งแรงมาก
  • ทนต่อปลวกและความชื้นได้ดี
  • ลายไม้สวย สีเข้มดูหรูหรา

ข้อเสีย:

  • ราคาสูง
  • สีเข้มมาก อาจไม่เข้ากับการตกแต่งแบบสมัยใหม่
  • หนัก แปรรูปยาก

หมายเหตุ : ดูสินค้าไม้แดงต่อได้ที่นี่

5.5 ไม้สะเดา (Neem Wood)

ข้อดี:

  • มีน้ำมันธรรมชาติ ช่วยกันปลวก
  • เป็นไม้เนื้อแข็ง หาง่ายในประเทศ
  • ราคาประหยัด

ข้อเสีย:

  • กลิ่นแรงเมื่อตัดหรือแปรรูปใหม่
  • สีไม้ไม่สวยเท่าไม้พรีเมียม
  • ต้องผ่านการอบแห้งอย่างดี

5.6 ไม้ทุเรียน (Durian Wood)

ข้อดี:

  • น้ำหนักเบา
  • ราคาถูก
  • เหมาะกับงาน DIY และงานชั่วคราว

ข้อเสีย:

  • ไม่ทนปลวก
  • ไม่เหมาะกับงานโครงสร้างหรือภายนอก
  • เปราะและแตกง่าย

5.7 ไม้ประดู่ (Padauk Wood)

ข้อดี:

  • แข็งแรงมาก ทนปลวก
  • สีไม้สวย น้ำตาลอมแดง ลายเด่น
  • ใช้งานได้ทั้งโครงสร้างและตกแต่ง

ข้อเสีย:

  • ราคาสูงกว่าไม้ทั่วไป
  • สีซีดจางเมื่อโดนแดด หากไม่เคลือบ

5.8 ไม้ตะแบก (Takian Wood)

ข้อดี:

  • แข็งแรง ทนความชื้นสูง
  • ทนต่อปลวกและแมลงในระดับดี
  • เหมาะกับงานโครงสร้าง

ข้อเสีย:

  • หนักมาก
  • แปรรูปยาก ต้องใช้ช่างฝีมือ
  • บางพันธุ์ลายไม้อาจไม่ชัดเท่าที่คาดหวัง

6. ไม้ต่างประเทศคุณภาพดีต้องร้านวิวัฒน์ชัยค้าไม้ 

หากคุณกำลังมองหา ไม้แปรรูป นำเข้าคุณภาพสูงสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ บิวต์อิน หรือโครงการตกแต่งภายในที่ต้องการความหรูหราและคงทน หรือ แมทช์ให้เข้ากับสียอดฮิตอย่าง  Mocha Mousse  ร้านวิวัฒน์ชัยค้าไม้ คือแหล่งรวมไม้ต่างประเทศชั้นนำจากยุโรปและอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นไม้วอลนัท (Walnut), ไม้โอ๊ค (Oak), ไม้แอช (Ash), ไม้บีช (Beech) หรือไม้เชอร์รี่ (Cherry) ทุกชนิดผ่านการอบแห้งและคัดเกรดอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ถึงคุณภาพ ความสวยงามของลายไม้ และการใช้งานที่ยาวนาน เราพร้อมให้คำแนะนำโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณได้ไม้ที่ตรงกับความต้องการที่สุด เพราะเราเชื่อว่า “งานไม้ดี เริ่มต้นจากวัสดุดี” และเราคือร้านที่ใส่ใจในทุกขั้นตอนของการคัดสรรไม้ให้คุณ

Contact :
Line OA : @viwatchai
Social Media Link : https://linktr.ee/viwatchai.kamai
Google Map : https://maps.app.goo.gl/9SUJ3URFxuuzTVc19
Call : 02-585-7575, 02-585-6950

Google Map
Line
Line
Google Map