Home » Wood Flooring » Laminate Flooring » พื้นลามิเนต มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?พร้อมสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อ
พื้นลามิเนต มีข้อควรระวังอะไรบ้าง? พร้อมสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อ
พื้นลามิเนต เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคนที่ต้องการความสวยงามแบบไม้จริง ในราคาที่เข้าถึงง่าย ติดตั้งเร็ว และดูแลไม่ยุ่งยาก แต่รู้หรือไม่ว่า…เบื้องหลังความสวยนี้ยังมีหลายจุดที่ “ต้องระวัง” ไม่งั้นอาจต้องเสียทั้งเงิน เสียเวลา หรือแม้แต่รื้อใหม่ทั้งห้อง!
หลายคนตัดสินใจซื้อเพราะเห็นว่า “ลามิเนตราคาถูกกว่าพื้นไม้จริง” แต่ลืมดูรายละเอียดเรื่องคุณภาพ เช่น มาตรฐาน AC Rating, หรือโครงสร้าง Core Layer HDF vs MDF ซึ่งส่งผลต่ออายุการใช้งานโดยตรง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก ข้อควรระวังในการใช้พื้นลามิเนต ให้อยู่ทน สวยนาน และเหมาะกับบ้านของคุณจริง ๆ อ่านบทความเกี่ยวกับ พื้นลามิเนตคืออะไร ได้ที่นี่
1.สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ พื้นลามิเนต
1.1 ประเภท Core Layer ของพื้นลามิเนต

1.1.1 HDF (High Density Fiberboard)
HDF หรือแผ่นใยไม้อัดความหนาแน่นสูง เป็นวัสดุหลักที่นิยมใช้ในพื้นลามิเนตระดับพรีเมียม ด้วยกระบวนการผลิตจากเส้นใยไม้บดละเอียด ผสมเรซิน แล้วอัดขึ้นรูปด้วยแรงดันและอุณหภูมิสูง ทำให้ได้แผ่นไม้ที่มีความหนาแน่นสูง แข็งแรง ไม่เปราะง่าย และทนต่อแรงกด แรงกระแทก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้นได้ดีกว่า MDF จึงเหมาะอย่างยิ่งกับพื้นที่ที่มีการใช้งานหนัก เช่น โถงทางเดิน ห้องรับแขก หรือแม้แต่พื้นที่เชิงพาณิชย์
คุณสมบัติ
- ความหนาแน่นสูงเป็นพิเศษ: โดยมาตรฐาน HDF จะมีความหนาแน่นอยู่ที่ประมาณ 880 – 1040 กก./ม.³ (หรือ 55–65 ปอนด์/ฟุต³) ซึ่งสูงกว่า MDF อย่างเห็นได้ชัด
- แข็งแรงและทนทานต่อแรงกระแทก: ด้วยเส้นใยไม้ที่ละเอียดและอัดแน่น HDF มีโอกาสบิ่น แตก หรือโก่งงอน้อย เหมาะสำหรับการใช้งานที่มีการสัญจรหรือใช้งานหนัก
- พื้นผิวแข็ง เรียบ และละเอียด: โครงสร้างที่แน่นหนาช่วยให้การตัด ขึ้นรูป หรือกัดลาย ทำได้แม่นยำ และมีความคมชัดสูง เหมาะกับงานที่ต้องการรายละเอียดเฉพาะจุด
- มีเสถียรภาพสูง: โครงสร้างที่อัดแน่นทำให้แผ่นไม่ยืดหรือหดตัวง่าย ลดโอกาสเกิดการโก่งหรือบิดเบี้ยวเมื่อเจอความชื้นหรืออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง
- ทนความชื้นได้ดีกว่า MDF: แม้จะไม่กันน้ำ 100% แต่ความหนาแน่นของ HDF ช่วยลดการซึมน้ำและลดปัญหาแผ่นบวมเมื่อเทียบกับ MDF
1.1.2 MDF (Medium Density Fiberboard)
MDF หรือแผ่นใยไม้อัดความหนาแน่นปานกลาง เป็นวัสดุที่นิยมใช้ในพื้นลามิเนตราคาประหยัด หรือเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งทั่วไป ผลิตจากเศษไม้บดละเอียด ผสมแวกซ์และเรซิน แล้วอัดขึ้นรูป มีข้อดีเรื่องผิวหน้าเรียบเนียน ทำสีง่าย ตัดเฉือนได้ง่าย และราคาย่อมเยา แต่ข้อจำกัดคือความทนทานต่ำกว่า HDF และไม่เหมาะกับพื้นที่เปียกชื้น
คุณสมบัติ
- ความหนาแน่นปานกลาง: อยู่ที่ประมาณ 800 – 880 กก./ม.³ (หรือ 50–55 ปอนด์/ฟุต³)
- ใช้งานง่าย: เส้นใยที่หลวมกว่า HDF ทำให้สามารถตัด กลึง เจาะ หรือขึ้นรูปด้วยเครื่องมือทั่วไปได้สะดวก
- น้ำหนักเบา: ช่วยให้ขนย้ายและติดตั้งได้ง่าย เหมาะสำหรับงาน DIY หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ได้รับน้ำหนักมาก
- ไม่ทนชื้น: MDF ไม่เหมาะกับพื้นที่เปียก เพราะจะบวมเสียรูปได้หากสัมผัสน้ำโดยตรง อย่างไรก็ตาม MDF บางเกรดสามารถเคลือบสารกันชื้นเพื่อใช้งานในห้องครัวหรือห้องน้ำที่ไม่มีน้ำขังได้
1.2 มาตรฐานรอยขีดข่วน

1.2.1 AC Rating คืออะไร?
AC Rating (Abrasion Class Rating) หรือที่เรียกกันว่า “ค่าความทนต่อการสึกหรอ” คือค่ามาตรฐานที่ใช้วัด ระดับความทนทานของพื้นลามิเนต ต่อการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในด้านความแข็งแรงต่อแรงกด แรงขีดข่วน และการสึกหรอจากการใช้งานต่อเนื่อง เช่น การเดินผ่าน การวางเฟอร์นิเจอร์ หรือการลากของบนพื้น
1.2.2 AC Rating มีที่มาอย่างไร?
AC Rating เป็นระบบการจัดระดับที่ถูกกำหนดขึ้นโดย สมาคมผู้ผลิตพื้นลามิเนตแห่งยุโรป (European Producers of Laminate Flooring หรือ EPLF) ซึ่งเป็นผู้วางมาตรฐานสากลให้กับอุตสาหกรรมพื้นลามิเนตทั่วโลก โดยการทดสอบจะใช้ เครื่อง Taber Rotary Platform Abraser เพื่อลองจำลองสถานการณ์ใช้งานจริง ทั้งการขีดข่วน การทนต่อคราบเปื้อน การกระแทก และการเปลี่ยนแปลงจากความชื้นหรืออุณหภูมิ
1.2.3 ทำไม AC Rating ถึงสำคัญ?
การมี AC Rating ช่วยให้ผู้บริโภค:
- เลือกพื้นให้เหมาะกับลักษณะการใช้งาน: เช่น บ้าน ร้านค้า สำนักงาน ห้าง
- มั่นใจในคุณภาพก่อนซื้อ: ทราบว่าพื้นสามารถรับภาระจากการใช้งานได้จริง
- ป้องกันการเสียเงินซ้ำซ้อน: หากเลือกพื้นผิดประเภท พื้นอาจเสียหายเร็วกว่าที่ควร
- ช่วยยืดอายุการใช้งานของพื้น: เมื่อเลือกถูกต้อง จะไม่ต้องซ่อมบ่อย
- วางแผนการใช้งานในพื้นที่เฉพาะเจาะจงได้: เช่น พื้นที่เปียก พื้นที่ที่ต้องลากของหนัก
1.2.4 ตารางเปรียบเทียบระดับ AC Rating และการใช้งานที่เหมาะสม
AC Rating | ความเหมาะสมในการใช้งาน | พื้นที่ที่แนะนำ |
AC1 | เหมาะสำหรับงานเบาในบ้าน | ห้องนอน ห้องพักผ่อน |
AC2 | เหมาะสำหรับพื้นที่ทั่วไปในบ้าน | ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร |
AC3 | เหมาะกับการใช้งานหนักในบ้าน | ทางเดิน โถงบ้าน ห้องครัว |
AC3 (Class 31) | เหมาะสำหรับบ้านทั่วไป และร้านค้าเล็ก | สำนักงาน โรงแรมขนาดเล็ก |
AC4 | รองรับการใช้งานในบ้านที่มีการสัญจรสูง และงานเชิงพาณิชย์เบา | ร้านค้า คาเฟ่ สำนักงานทั่วไป |
AC5 | รองรับงานเชิงพาณิชย์หนัก | ห้างสรรพสินค้า อาคารสาธารณะ โรงเรียน |
AC6 | ใช้ในพื้นที่ที่มีการสึกหรอสูงมาก (หายาก) | สนามบิน สถานีรถไฟ พื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ |
หมายเหตุ: AC ที่สูงกว่าสามารถใช้แทนระดับที่ต่ำกว่าได้ เช่น AC4 ใช้ในบ้านได้ทั้งหมด และยังใช้ในร้านค้าเล็กได้ด้วย
อ่านบทความ พื้นลามิเนตทนรอย เพิ่มเติมได้ที่นี่
2.ข้อควระวังในการใช้ พื้นลามิเนต

2.1 พื้นลามิเนตที่ใช้แกน MDF
พื้นลามิเนตที่ใช้แกน MDF มีต้นทุนต่ำกว่าและสามารถใช้ในพื้นที่ทั่วไปได้ แต่ก็มีข้อควรระวังสำคัญคือไม่ทนชื้นเท่า HDF หากสัมผัสกับน้ำหรือความชื้นเป็นเวลานานจะมีโอกาสบวมหรือพองได้ง่าย นอกจากนี้ความแข็งแรงของ MDF ยังน้อยกว่า HDF อาจแตกหรือบิ่นได้หากมีแรงกระแทก เช่น โดนของตกใส่หรือการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์หนัก จึงไม่เหมาะกับการติดตั้งในห้องน้ำ ครัว หรือพื้นที่ใกล้ทางออกที่อาจเจอความชื้นสูงบ่อยครั้ง
2.2 พื้นลามิเนตที่ใช้แกน HDF
เป็นตัวเลือกที่แข็งแรงและทนทานกว่า MDF อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในแง่ของความแข็งแรงและอายุการใช้งาน อย่างไรก็ตามแม้จะทนความชื้นได้ดีกว่า แต่ก็ไม่สามารถกันน้ำได้ 100% หากเกิดน้ำซึมหรือแช่น้ำเป็นเวลานานอาจยังมีปัญหาการบวมได้อยู่ดี การติดตั้งในพื้นที่ควบคุมความชื้น เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือออฟฟิศจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม และควรซีลขอบและรอยต่อให้แน่นเพื่อป้องกันน้ำซึมเข้าสู่แกนกลาง
2.3 พื้นลามิเนตราคาถูกหรือไม่ได้มาตรฐาน AC Rating
การเลือกพื้นลามิเนตที่ไม่มีการระบุ AC Rating หรือมี AC ต่ำกว่าเกรดที่เหมาะสม เช่น AC1 หรือ AC2 อาจทำให้พื้นไม่สามารถทนต่อรอยขีดข่วนหรือแรงกระแทกได้ดี และเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร โดยเฉพาะเมื่อใช้ในพื้นที่ที่มีการใช้งานหนัก เช่น โถงทางเดินหรือร้านค้า การเลือกพื้นลามิเนตที่มี AC3 ขึ้นไปจะช่วยให้มั่นใจในความทนทานและรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีกว่า
2.4 ไม่เหมาะกับบริเวณที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงสูง
พื้นลามิเนตไม่เหมาะกับการติดตั้งในบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิสูง เช่น ใกล้เตาผิง หรือบริเวณที่แสงแดดส่องตรงจากหน้าต่างทั้งวัน เพราะอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้แผ่นพื้นขยายหรือหดตัวจนเกิดการโก่งตัวหรือมีช่องว่างระหว่างแผ่น จึงควรเว้นช่องขยายตัว (Expansion Gap) รอบขอบพื้นทุกด้านอย่างเหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงนี้
2.5 การติดตั้งบนพื้นไม่เรียบ หรือมีความชื้นใต้พื้น
หากติดตั้งพื้นลามิเนตบนพื้นเดิมที่ไม่เรียบ หรือมีความชื้นสะสมอยู่ใต้พื้นโดยไม่มีแผ่นกันชื้น จะส่งผลให้เกิดปัญหาพื้นโก่ง บวม หรือแผ่นพื้นขยับตัวได้ในอนาคต ซึ่งจะทำให้พื้นเสียหายเร็วและเกิดเสียงดังเวลาย่ำ ควรปรับพื้นให้เรียบ และติดตั้งแผ่นพลาสติกกันความชื้น (Moisture Barrier) ก่อนปูพื้นทุกครั้ง โดยเฉพาะในชั้นล่างหรือพื้นที่ใกล้ดิน สนใจ สินค้าพื้นลามิเนต ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่
3.Kronoswiss แบรนด์พื้นลามิเนตชั้นนำ
หากคุณเคยเจอปัญหาพื้นบวมเมื่อโดนน้ำ หรือพื้นลามิเนตเสื่อมสภาพเร็วเพราะขีดข่วนง่าย อาจถึงเวลาต้องใส่ใจให้มากกว่าการเลือกแค่ลายไม้สวยถูกใจ การเลือก พื้นลามิเนตที่มี AC Rating สูง เช่น AC4 หรือ AC5 จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้นหลายปี พร้อมลดความเสี่ยงจากรอยขีดข่วน การสึกหรอ และความเสียหายจากความชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะหากตัวแผ่นพื้นใช้ แกนกลาง HDF (High Density Fiberboard) ที่ทนชื้นและแข็งแรงกว่า MDF หลายเท่า อ่านบทความ ประวัติความเป็นมาพื้นลามิเนต ได้ที่นี่
หนึ่งในแบรนด์ชั้นนำที่ตอบโจทย์นี้ได้ครบถ้วนคือ Kronoswiss จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีประวัติยาวนานในวงการไม้และวัสดุปูพื้น โดยอยู่ภายใต้กลุ่ม Swiss Krono Group ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1966 โดดเด่นทั้งในด้านนวัตกรรมการผลิต ความทนทาน และมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับยุโรป
พื้นลามิเนตจาก Kronoswiss ไม่เพียงแค่สวยงามแต่ยังเหนือกว่าทั่วไปในท้องตลาดด้วยมาตรฐาน AC4 – AC5 ที่ให้ความทนทานต่อรอยขีดข่วนได้สูงกว่าพื้นทั่วไปในกลุ่มเดียวกัน ด้วยการเสริมชั้นเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยี Aluminum Oxide Wear Layer ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง ทนรอยขีดข่วน และยืดอายุการใช้งานของพื้นได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังใช้ HDF core ที่มีความหนาแน่นสูง ทำให้รองรับแรงกระแทกและความชื้นได้ดีกว่าลามิเนตเกรดทั่วไป เหมาะกับทั้งบ้านที่มีเด็กเล็ก สัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่โครงการที่ต้องการคุณภาพระดับพรีเมียม โดยผ่านการรับรองมาตรฐานสากลหลากหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น E1 (มาตรฐานการปล่อยฟอร์มาลดีไฮด์ต่ำ), FSC (ไม้จากแหล่งผลิตที่ยั่งยืน), Swiss Made, FloorScore® Certification, Phthalate Free (ปลอดสารพลาสติกอันตราย) และยังเป็นผลิตภัณฑ์ 100% Recyclable ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
พื้นลามิเนตเป็นตัวเลือกที่ทั้งสวยและราคาย่อมเยา แต่ก่อนตัดสินใจซื้อควรระวังเรื่องคุณภาพวัสดุ เช่น การกันชื้น ความแข็งแรงของแกนไม้ (HDF vs MDF) และมาตรฐาน AC Rating เพราะหากเลือกผิดอาจทำให้พื้นบวมง่าย ขอบยก หรือเกิดความเสียหายเร็ว โดยเฉพาะเมื่อใช้งานในพื้นที่ที่มีความชื้นหรือการใช้งานหนัก การเลือกพื้นลามิเนตที่เหมาะสมตั้งแต่ต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานและลดปัญหาที่อาจตามมาในระยะยาว