ประกาศแล้ว ไม้หวงห้าม ปลูก-ตัดไม้ ในที่ดินกรรมสิทธิ์และครอบครอง
ในยุคที่การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้รับความสำคัญอย่างสูง ไม้หวงห้าม ที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของมรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมไทย ถูกกำหนดให้คุ้มครองอย่างเคร่งครัดในทุกพื้นที่ แม้ในที่ดินส่วนบุคคล แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและความต้องการใช้ทรัพยากรเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงได้ดำเนินการปรับปรุงกฎหมายโดยการยกเลิกมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนและเอกชนที่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินสามารถนำไม้หวงห้ามมาใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มาทำความรู้จักกับไม้สงวนเหล่านี้ พร้อมทั้งศึกษาความเปลี่ยนแปลงในแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ปลดล็อก มาตรา 7
เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 ได้มีการประกาศราชกิจจานุเบกษาแก้ไข พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ฉบับที่ 8 ซึ่งประกอบด้วยทั้งหมด 11 มาตรา โดยสาระสำคัญอยู่ที่มาตรา 7 ที่ระบุไว้อย่างชัดว่า “ไม้ทุกชนิดที่ขึ้นในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน” จะไม่ถือว่าเป็นไม้หวงห้าม ทั้งนี้ ไม้ที่ขึ้นในพื้นที่ป่าจะยังคงได้รับการคุ้มครองและจัดเป็นไม้หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกาที่กำหนดไว้ เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างเคร่งครัด การแก้ไขครั้งนี้จัดทำขึ้นเพื่อลดอุปสรรคและเปิดโอกาสให้ประชาชนและเอกชนที่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน (เช่น โฉนด, นส.3, ใบจอง, สค.1) สามารถปลูก ตัด แปรรูป และใช้ไม้ที่ขึ้นในที่ดินของตนเพื่อการค้าและการออมเงินได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่อีกต่อไป การนำไม้ที่ได้มาจากที่ดินกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองสามารถนำเคลื่อนที่ได้ทั่วราชอาณาจักร โดยไม่ต้องขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่ต้องแจ้งผ่านด่านป้าไม้ หากพนักงานเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบไม้เหล่านั้นจะผู้เป็นเจ้าของไม้หรือผู้ครอบครองไม้อาจทำหลักฐานเพื่อรับรองความถูกต้องของไม้ หรือแสดงหลักฐานการได้มาของไม้
นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางส่งเสริมป่าเศรษฐกิจและการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพยากรและที่ดินส่วนบุคคล อีกทั้งผู้ที่เคยถูกดำเนินคดีในกรณีตัดไม้ในที่ดินส่วนบุคคลตามกฎหมายเดิมจะได้รับนิรโทษกรรมและปล่อยตัวออก เนื่องจากการกระทำดังกล่าวในปัจจุบันไม่ได้ผิดกฎหมายอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายฉบับนี้ยังเปิดทางให้ไม้ 58 ชนิดที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันในการขอกู้เงินกับสถาบันการเงิน ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและการพัฒนาทางเศรษฐกิจในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมไม้ รวมถึงลดภาระภาษีในที่ดินที่รกร้างตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2560-2579) ด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจให้ได้ถึง 40% ของที่ดินทั้งประเทศ ทั้งหมดนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้การใช้ทรัพยากรธรรมชาติในที่ดินส่วนบุคคลเกิดประโยชน์สูงสุด โดยคงไว้ซึ่งมาตรการคุ้มครองทรัพยากรในพื้นที่ป่าไว้ตามเดิมและส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ทำไม? ถึงเป็นไม้หวงห้าม
เป็นไม้หวงห้ามเพราะเป็นไม้หายากและมีมูลค่าสูง ไม้บางชนิดต้องใช้เวลาหลายสิบถึงร้อยปีในการเติบโต ทำให้การฟื้นฟูทำได้ยาก อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อและพิธีกรรมถูกใช้ในศาสนา ความเชื่อทางจิตวิญญาณ หรือเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังและความศักดิ์สิทธิ์ ไม้หวงห้ามเหล่านี้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเพื่อป้องกันการลักลอบตัดไม้และรักษาสมดุลของระบบนิเวศ
รู้จักลักษณะของพันธุ์ไม้แต่ละชนิด
1. ต้นสัก

ชื่อ “สัก” มาจากคำในภาษาท้องถิ่นและมีความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ เนื่องจากไม้สักเคยถูกมอบเป็นของขวัญหรือเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราในสังคมไทย ต้นสักเป็นไม้พื้นเมืองในภูมิภาคเขตร้อนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพบได้ในป่าชื้นและในพื้นที่ที่ปลูกในที่ดินส่วนบุคคลในประเทศไทย
- การประยุกต์ใช้:
เนื้อไม้สักมีมูลค่าสูงและทนทาน ใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม งานประดิษฐ์ และการก่อสร้างที่ต้องการความคงทนและความงามตามธรรมชาติ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
1.รูปแบบการเจริญเติบโต:
- ต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงอาจเกิน 20–30 เมตร
- ลำต้นตรงและมีการกระจายกิ่งก้านเป็นธรรมชาติ
- เติบโตช้าแต่มีอายุการใช้งานยาวนาน
2.ลักษณะใบ:
- ใบเดี่ยว รูปไข่หรือรี ขอบใบเรียบ
- สีใบเขียวเข้มและมีความเงางาม
3.ลักษณะลำต้นและเปลือก:
- เปลือกลำต้นค่อนข้างหยาบ เมื่อมีอายุมากจะมีรอยแตกและเปลี่ยนสี
- เนื้อไม้มีลายที่สวยงามและคงทนต่อการใช้งาน
2. ต้นพะยูง

- การประยุกต์ใช้:
เนื้อไม้พะยูงมีมูลค่าสูง ใช้ในงานก่อสร้าง งานเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียมและงานศิลปะไม้ หนึ่งในไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจสูงและได้รับความนิยมในตลาด
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
1.รูปแบบการเจริญเติบโต:
- ต้นไม้ใหญ่ เติบโตช้าแต่มีความคงทน
- ลำต้นสูงและมีความตรง พบในพื้นที่ร้อนชื้นหรือป่าดิบแล้ง
2.ลักษณะใบ:
- ใบเดี่ยว รูปไข่หรือรี ขอบใบเรียบ
- สีเขียวเข้ม มีเส้นลวดลายบางครั้งปรากฏชัด
3.ลักษณะลำต้นและเปลือก:
- เปลือกลำต้นหยาบ มีรอยแตกตามอายุ
3. ต้นเต็ง

ต้นเต็งพบได้ทั่วไปในพื้นที่ที่มีอากาศอบอุ่นของประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตร้อน ชื่อ “เต็ง” มาจากคำท้องถิ่นที่สื่อถึงความคงทนและความตรงของลำต้น ซึ่งเป็นลักษณะที่ทำให้ต้นไม้ชนิดนี้มีความนิยมในงานก่อสร้างและงานไม้พื้นฐาน
- การประยุกต์ใช้:
เนื้อไม้เต็งมีความคงทน ใช้ในงานไม้โครงสร้าง งานเฟอร์นิเจอร์ และงานตกแต่งที่ต้องการความธรรมชาติ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
1.รูปแบบการเจริญเติบโต:
- ต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ มีลำต้นตรงและกิ่งก้านกระจาย
- เติบโตในที่ดินส่วนบุคคลหรือพื้นที่ชื้นในสภาพอากาศอบอุ่น
2.ลักษณะใบ:
- ใบเดี่ยว รูปร่างรีหรือไข่ สีเขียวเข้ม ขอบใบเรียบ
- มีความสม่ำเสมอในรูปแบบและขนาด
3.ลักษณะลำต้นและเปลือก:
- ลำต้นมีเปลือกหยาบค่อย ๆ เปลี่ยนสีเมื่อมีอายุ
- เนื้อไม้มีความแข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้อม
4. ต้นไม้แดง

ต้นไม้แดงเป็นไม้พื้นเมืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่พบในป่าชื้นและพื้นที่ส่วนบุคคล ชื่อ “ไม้แดง” มาจากสีของเนื้อไม้ที่มีสีแดงเข้ม ซึ่งเป็นลักษณะที่โดดเด่นและมีมูลค่าสูงในตลาดไม้ มีการเรียกชื่อในภาษาท้องถิ่นที่สะท้อนถึงความงามและคุณค่าทางเศรษฐกิจของเนื้อไม้
- การประยุกต์ใช้:
ไม้แดงเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความแข็งแรงสูง ทนทานต่อปลวกและสภาพอากาศ จึงนิยมนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแข็งแรงและอายุการใช้งานยาวนาน ใช้ทำโต๊ะ ตู้ และเก้าอี้
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
1.รูปแบบการเจริญเติบโต:
- ต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ลำต้นตรงและมีเนื้อไม้แข็งแรง
- พบในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศร้อนและชื้น
2.ลักษณะใบ:
- ใบเดี่ยว รูปร่างรีหรือไข่ สีเขียวเข้ม มีขอบใบเรียบ
- ลักษณะใบชัดเจนและเรียบเนียน
3.ลักษณะลำต้นและเปลือก:
- ลำต้นมีเปลือกเรียบและมีลวดลายของเนื้อไม้ที่สวยงาม
- เนื้อไม้แดงมีความแข็งแรงและทนทาน
5. ต้นประดู่ป่า

ต้นประดู่ป่าเป็นไม้ที่เติบโตในป่าธรรมชาติและพบได้ในพื้นที่ชื้นของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคกลาง ชื่อ “ประดู่ป่า” สื่อถึงต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าธรรมชาติและมีคุณสมบัติทนทานของเนื้อไม้ที่สวยงามและใช้กันมาอย่างยาวนานในงานไม้หรู
- การประยุกต์ใช้:
เนื้อไม้ประดู่ป่าเป็นที่นิยมในงานเฟอร์นิเจอร์และงานประดิษฐ์ที่ต้องการความคงทนและลวดลายที่เป็นธรรมชาติ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
1.รูปแบบการเจริญเติบโต:
- ต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ พบในป่าชื้น
- เติบโตช้าแต่มีอายุยาวและมีขนาดใหญ่
2.ลักษณะใบ:
- ใบเดี่ยว รูปร่างรีหรือไข่ มีสีเขียวเข้มและเงางาม
- มักมีขนาดใบใหญ่กว่าต้นไม้ในที่ดินส่วนบุคคล
3.ลักษณะลำต้นและเปลือก:
- ลำต้นมีขนาดใหญ่ เปลือกหยาบแต่มีลวดลายในเนื้อไม้ที่สวยงาม
- เนื้อไม้มีความคงทนสูง
6. ต้นไม้มะค่าแดง

ต้นมะค่าแดงมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักพบในที่ดินส่วนบุคคลที่มีสภาพอากาศร้อนและแห้ง ชื่อ “มะค่าแดง” มาจากสีของเนื้อไม้ที่มีสีแดงเข้มและเป็นที่รู้จักในตลาดไม้มีค่าด้วยความงามและความคงทน
- การประยุกต์ใช้:
เนื้อไม้มะค่าแดงมีมูลค่าสูง นิยมใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์หรู เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีคุณภาพสูง มีความทนทาน และสวยงาม โดยสามารถประยุกต์ใช้ได้หลายด้าน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
1.รูปแบบการเจริญเติบโต:
- ต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่
- เติบโตในที่ดินส่วนบุคคลที่มีสภาพอากาศร้อนและแห้ง
2.ลักษณะใบ:
- ใบเดี่ยว รูปทรงรีหรือไข่ มีสีเขียวเข้มที่เงางาม
- ขอบใบเรียบ ชัดเจนและมีความสวยงาม
3.ลักษณะลำต้นและเปลือก:
- ลำต้นมีเปลือกเรียบ เนื้อไม้มีลวดลายสีแดงที่โดดเด่น
- ความแข็งแรงและทนทานสูง
7. ต้นตะเคียนทอง

ต้นตะเคียนทองเป็นไม้ที่พบในเขตร้อนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย ชื่อ “ตะเคียนทอง” สะท้อนถึงสีทองอ่อนที่ปรากฏบนเนื้อไม้เมื่อสุก ชื่อ “ตะเคียน” มาจากคำท้องถิ่นที่ใช้เรียกกลุ่มไม้ที่มีความแข็งแรงและลวดลายสวยงาม
- การประยุกต์ใช้:
เนื้อไม้ตะเคียนทองมีมูลค่าสูง ใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งภายในที่ต้องการความหรูหราและมีเอกลักษณ์
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
1.รูปแบบการเจริญเติบโต:
- ต้นไม้ยืนต้นขนาดกลาง พบในที่ดินส่วนบุคคลหรือพื้นที่ป่า
- มีการเจริญเติบโตที่ค่อนข้างช้าแต่เนื้อไม้มีคุณภาพสูง
2.ลักษณะใบ:
- ใบเดี่ยว รูปร่างรีหรือไข่ สีเขียวเข้ม มีขอบใบเรียบมีความเรียบเนียนและสม่ำเสมอ
3.ลักษณะลำต้นและเปลือก:
- ลำต้นมีเปลือกหยาบ แต่เมื่อสุกเนื้อไม้จะเผยลวดลายและสีทองอ่อนที่โดดเด่น
- เนื้อไม้มีความคงทนและสามารถตัดแต่งได้ง่าย
8. ต้นกระพี้เขาควาย

ต้นกระพี้เขาควายมีถิ่นกำเนิดในภาคเหนือและภาคอีสานของไทย โดยมักพบในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมค่อนข้างแห้งและป่าดิบแล้ง ชื่อ “กระพี้เขาควาย” สื่อถึงความแข็งแรงและความทนทานของต้นไม้ โดยที่คำว่า “กระพี้” อาจเกิดจากลักษณะเสียงหรือเปลือกของต้นไม้ และ “เขาควาย” สื่อถึงความทนทานเปรียบเสมือนเขาควาย
- การประยุกต์ใช้:
เนื้อไม้กระพี้เขาควายมีความทนทานและลวดลายที่สวยงาม นิยมใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ งานก่อสร้าง และงานหัตถกรรมที่ต้องการความคงทนและลักษณะเฉพาะตัว
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
1.รูปแบบการเจริญเติบโต:
- ต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ พบในป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งในพื้นที่สูงไม่เกิน 1,000 เมตร
- เจริญเติบโตในสภาพอากาศที่ค่อนข้างแห้งและมีแสงแดดเพียงพอ
2.ลักษณะใบ:
- ใบเดี่ยว รูปร่างไข่หรือรี สีเขียวเข้ม มีขอบใบเรียบหรือหยาบเล็กน้อย
- ใบมีความเรียบง่ายและทนทานต่อสภาพแวดล้อมแห้ง
3.ลักษณะลำต้นและเปลือก:
- ลำต้นมีความแข็งแรง เนื้อไม้มีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์
- เปลือกลำต้นมีรอยแตกตามอายุและมีความหยาบ
9. ต้นไม้ชิงชัน

ต้นชิงชันมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของไทย พบในป่าดิบแล้งและพื้นที่อบอุ่นในหลายภูมิภาค ชื่อ “ชิงชัน” หรือในบางพื้นที่อาจเรียกว่า “ดูสะแตน” หรือ “เก็ดแดง” สะท้อนถึงลักษณะของเนื้อไม้และสีที่โดดเด่น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ผู้คนในท้องถิ่นนำมาเรียกตามความประทับใจ
- การประยุกต์ใช้:
เนื้อไม้ชิงชันถูกนำไปใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ งานหัตถกรรม และตกแต่งภายใน เนื่องจากมีความประณีตและความทนทาน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
1.รูปแบบการเจริญเติบโต:
- ต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่
- ลำต้นตรงและกิ่งก้านกระจายกว้าง พบในพื้นที่ร้อนและชื้น
2.ลักษณะใบ:
- ใบเดี่ยว รูปไข่หรือรี สีเขียวเข้ม
- ขอบใบเรียบหรือมีรอยขีดเล็กน้อย
3.ลักษณะลำต้นและเปลือก:
- เปลือกมีสีเทาหรือเทาอมเขียว เมื่ออายุมากจะมีรอยแตก
- เนื้อไม้มีลวดลายที่สวยงามและแข็งแรง
10. ต้นรัง

ต้นรังเป็นไม้พื้นเมืองที่เจริญเติบโตในพื้นที่ชื้นและดินอุดมสมบูรณ์ในเขตร้อนของไทย ชื่อ “รัง” อาจมีที่มาจากลักษณะของฝักหรือผลที่มีโครงสร้างคล้ายกับรังของสัตว์ ซึ่งเป็นที่เรียกตามลักษณะภายนอกที่เป็นเอกลักษณ์ในท้องถิ่น
- การประยุกต์ใช้:
เนื้อไม้จากต้นรังมีลวดลายละเอียดอ่อน ใช้ในงานตกแต่งภายในและงานประดิษฐ์ เป็นที่นิยมในกลุ่มงานไม้หรูที่เน้นความประณีตของลวดลายธรรมชาติ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
1.รูปแบบการเจริญเติบโต:
- ต้นไม้ยืนต้นขนาดกลาง พบในพื้นที่ชื้นที่มีดินอุดมสมบูรณ์
- รูปทรงอาจไม่สมมาตรเท่าต้นไม้ใหญ่ แต่มีความสวยงามตามธรรมชาติ
2.ลักษณะใบ:
- ใบเดี่ยว รูปร่างรีหรือไข่ สีเขียวเข้มถึงอ่อน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
- มักมีลักษณะเรียบและเนียน
3.ลักษณะลำต้นและเปลือก:
- ลำต้นบางกว่าต้นไม้ใหญ่ เปลือกเรียบและมีลวดลายของเนื้อไม้ที่ละเอียด
- ความทนทานอาจต่ำกว่าไม้ขนาดใหญ่แต่มีความสวยงามในลักษณะพื้นผิว
11. ต้นเคี่ยม

ต้นเคี่ยมเป็นไม้พื้นเมืองในเขตร้อนของไทย พบในป่าดิบแล้งและพื้นที่ที่ปลูกในที่ดินส่วนบุคคล ชื่อ “เคี่ยม” มีรากศัพท์มาจากคำในภาษาท้องถิ่นที่บ่งบอกถึงความหนักแน่นและลวดลายเฉพาะตัวของเนื้อไม้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ
- การประยุกต์ใช้:
เนื้อไม้เคี่ยมมีความทนทานสูง ใช้ในงานก่อสร้างและงานเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความมั่นคง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
1.รูปแบบการเจริญเติบโต:
- ต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ เติบโตช้าแต่มีอายุยาว
- ลำต้นตรงและแข็งแรง
2.ลักษณะใบ:
- ใบเดี่ยว รูปไข่หรือรี ขอบใบเรียบ สีเขียวเข้ม
- มีความเงางามและเรียบง่าย
3.ลักษณะลำต้นและเปลือก:
- ลำต้นมีเปลือกหยาบในวัยเยาว์และค่อย ๆ เปลี่ยนลักษณะตามอายุ
- เนื้อไม้มีลวดลายที่สวยและแข็งแรง เป็นไม้เนื้อแข็ง
12. ต้นกันเกรา

ต้นกันเกราเป็นไม้พื้นเมืองที่พบได้ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความชื้น เช่น ป่าเบญจพรรณชื้นและบริเวณใกล้น้ำ ในภาคกลางเรียกว่า “กันเกรา” แต่ในภาคใต้มักเรียกว่า “ตำแสง” หรือ “ตำเสา” และในภาคเหนือ–อีสานนิยมเรียกว่า “มันปลา” เนื่องจากดอกของต้นนี้มีลักษณะคล้ายกับไขมันของปลา ชื่อนี้จึงสะท้อนลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันตามภูมิภาคและวัฒนธรรมท้องถิ่น
- การประยุกต์ใช้:
เนื้อไม้ของต้นกันเกราเป็นที่นิยมในงานเฟอร์นิเจอร์ งานเครื่องเรือน และงานประดิษฐ์ที่ต้องการความคงทนและเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
1.รูปแบบการเจริญเติบโต:
- เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูงประมาณ 10–20 เมตร
- ขยายกิ่งอย่างสม่ำเสมอ พบทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในป่าเบญจพรรณชื้นหรือบริเวณที่ต่ำที่ชื้นแฉะใกล้น้ำ
2.ลักษณะใบ:
- ใบเป็นใบประกอบ (compound leaf) โดยใบเล็กๆ เรียงคู่กัน
- รูปร่างใบมีลักษณะไข่หรือรี ขอบใบค่อนข้างเรียบ มีสีเขียวเข้มด้านบนและสีเขียวอ่อนด้านล่าง
3.ลักษณะลำต้นและเปลือก:
- ลำต้นตรง มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพิ่มขึ้นตามอายุ
- เปลือกมีสีเทาหรือเทาอมเขียว เมื่ออายุมากขึ้นจะเกิดรอยแตกเป็นแผ่นเล็ก ๆ
- เนื้อไม้มีลวดลายที่สวยงามและแข็งแรง
การแปรรูปไม้ ที่ได้มาจากที่ดินกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง ต้องยื่นคำขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่ ?
การแปรรูปไม้ที่ได้จากที่ดินกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองผู้เป็นเจ้าของไม้สามารถแปรรูปไม้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่
การนำไม้ที่ได้มาจากที่ดินกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองเคลื่อนที่ หากพนักงานเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบไม้เหล่านั้นจะมีวิธีการยืนยันความถูกต้องของไม้อย่างไร ?
ผู้เป็นเจ้าของไม้หรือผู้ครอบครองไม้อาจทำหลักฐานเพื่อรับรองความถูกต้องของไม้ หรือแสดงหลักฐานการได้มา ของไม้ เช่น
1. ทำหลักฐานยืนยันความเป็นเจ้าของไม้ โดยจัดทำหนังสือรับรองตนเองว่าเป็นไม้ที่ได้มาจากที่ดินกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองของตน โดยอาจมีผู้นำท้องถิ่น/องค์กรท้องถิ่น ลงนามเป็นพยาน ภาพถ่ายต้นไม้ที่ตัดและแปรรูปทุกขั้นตอน พิกัดต้นไม้/ที่ดิน สำเนาเอกสารที่ดินที่ต้นไม้ขึ้นอยู่ (เช่น โฉนดที่ดิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์)พร้อมบัญชีไม้ หนังสือสัญญาซื้อขาย (ถ้ามี) หรืออาจจะมีสำเนาบันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวนแนบด้วย
2. หนังสือรับรองไม้ ตามมาตรา 18/1, 18/2 แห่งพ.ร.บ.บำไม้ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562
3. หลักฐานการได้ไม้มาโดยชอบตาม พ.ร.บ.สวนป้าพ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
การนำไม้ที่ขึ้นในที่ดินกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองเคลื่อนที่ ต้องทำอย่างไร ?
การนำไม้ที่ได้มาจากที่ดินกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองสามารถนำเคลื่อนที่ได้ทั่วราชอาณาจักร โดยไม่ต้องขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่ต้องแจ้งผ่านด่านป้าไม้
การปรับปรุงกฎหมายป่าไม้ฉบับที่ 8 (2562) ได้เปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดการ ไม้หวงห้าม ในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะมาตรา 7 ที่ยกเลิกการจัดให้ไม้ที่ขึ้นในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองเป็นไม้หวงห้าม ทำให้เจ้าของที่ดินมีเสรีภาพในการปลูก ตัด ขนย้าย และแปรรูปไม้เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวไม่เพียงช่วยส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในที่ดินส่วนบุคคลอย่างเต็มที่ แต่ยังคงรักษามาตรการคุ้มครองไม้ในพื้นที่ป่าไว้ เพื่อป้องกันการตัดไม้ผิดกฎหมายและรักษาสมดุลทางธรรมชาติ ผู้ที่ดำเนินการตัดหรือแปรรูปไม้ในที่ดินส่วนบุคคลจะต้องจัดทำหลักฐานรับรองความเป็นเจ้าของและความถูกต้องของไม้ในกรณีที่มีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินของที่ดินและเปิดโอกาสให้ไม้ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจถูกนำมาใช้เป็นหลักประกันในการเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งเป็นแนวทางที่ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนในอนาคต
Contact :
Social Media Link : https://linktr.ee/VkFloor
Google Map : https://maps.app.goo.gl/9SUJ3URFxuuzTVc19
Call : 081-808-8283, 081-831-9291