ไม้แปรรูปคืออะไร? เจาะลึกค่าความแข็ง ความเหนียว และข้อดีข้อเสียของไม้แต่ละชนิด
ไม้แปรรูปคืออะไร? เจาะลึกค่าความแข็ง ความเหนียว และข้อดีข้อเสียของไม้แต่ละชนิด
ในโลกของการออกแบบภายในและงานช่างไม้ “ไม้แปรรูป” คือหัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะรับประทานอาหารที่ใช้กันทุกวัน ตู้เสื้อผ้าที่สวยงาม หรือพื้นไม้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและหรูหรา วัสดุที่อยู่เบื้องหลังความงามเหล่านี้คือไม้แปรรูปคุณภาพดี ที่ผ่านการคัดสรรและแปรรูปอย่างพิถีพิถัน
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักโลกของไม้แปรรูปให้ลึกยิ่งขึ้น ตั้งแต่นิยามของไม้แปรรูป วิธีจำแนกประเภท ความแตกต่างระหว่างไม้เนื้ออ่อนกับไม้เนื้อแข็ง ไปจนถึงการวิเคราะห์ค่าทางวิศวกรรม เช่น ความแข็ง (Hardness), ความยืดหยุ่น (Modulus of Elasticity), และค่าความต้านทานแรงต่าง ๆ รวมถึงจุดเด่น-จุดด้อยของไม้ยอดนิยมกว่า 9 ชนิด พร้อมแนะนำวิธีเลือกไม้ให้เหมาะกับงานที่คุณกำลังจะเริ่ม
1.ไม้แปรรูปคืออะไร?
ไม้แปรรูป (Lumber หรือ Sawn Timber) คือไม้ที่ได้มาจากการแปรรูปไม้ท่อนซุงโดยการเลื่อย ถาก หรือไส เพื่อให้ได้รูปทรงที่เหมาะสมกับการนำไปใช้งานต่อ ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง งานตกแต่งภายใน งานเฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่งานหัตถกรรม โดยไม้แปรรูปจะถูกตัดแต่งให้เป็นชิ้นไม้ที่มีขนาดมาตรฐาน ซึ่งพร้อมสำหรับใช้งานหรือแปรรูปต่อก่อนนำไปใช้ ไม้แปรรูปมักผ่านกระบวนการอบแห้ง (Kiln-Dried) เพื่อให้ค่าความชื้นลดลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ป้องกันการหด บิด หรือแตกร้าวเมื่อใช้งานจริง
การจำแนกไม้แปรรูป แบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก:
- ไม้เนื้ออ่อน (Softwood) เช่น ไม้สน ไม้เบญจพรรณ – ใช้งานง่าย ราคาถูก
- ไม้เนื้อแข็ง (Hardwood) เช่น ไม้ยางพารา ไม้เต็ง – เหมาะกับงานที่ต้องการความแข็งแรง
- ไม้เนื้อแกร่ง (Very hardwood) เช่น ไม้แดง ไม้ประดู่ – ทนทานสูง เหมาะกับโครงสร้างภายนอก
นอกจากนี้ ไม้ต่างประเทศก็คือไม้แปรรูป ประเภทหนึ่งเช่นกัน ซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศโดยผ่านกระบวนการแปรรูปและอบแห้งตามมาตรฐานสากล จึงมีคุณภาพสูง ทั้งในด้านความแข็งแรง ความสวยงามของลายไม้ และความคงตัว มักใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม งานบิวต์อิน และโครงการที่ต้องการความหรูหราและมีระดับ
2.เกรดไม้ในไทย (โดยทั่วไปและภายในวงการค้าไม้)
- เกรด A (FAS) ไม่มีตาดำ ไม่มีไส้ไม้ ไม่มีรอยโป๊ว ไม้เรียบ ลายสวยมาก เหมาะกับงานโชว์ผิว
- เกรด B มีตาดำบ้าง ไม่มีไส้ ไม่มีโป๊ว ลายไม้ดูดี เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป
- เกรด C มีตาดำ มีไส้ มีรอยโป๊ว เหมาะกับงานโครงภายใน หรือปิดผิว
- เกรดรอง/ไม้คัด ตำหนิเยอะ ปกติจะถูกนำไปใช้ในงานที่ไม่ต้องการความสวยงาม
3.มาตรฐานสากล: NHLA Grading (ไม้เนื้อแข็งจากอเมริกา)
โดย National Hardwood Lumber Association (NHLA) ใช้ระบบที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดสำหรับ ไม้เนื้อแข็งนำเข้า เช่น Walnut, Oak, Maple, Cherry ฯลฯ
เกรดความหมายลักษณะ
- FAS (First and Seconds)
เป็นเกรดสูงสุดของไม้เนื้อแข็ง มีเนื้อไม้เรียบเนียน ไม่มีตาดำ รอยแตก หรือไส้ไม้ และสามารถใช้งานได้อย่างน้อย 83.3% ของพื้นที่หน้าผิว เหมาะสำหรับงานโชว์ผิวไม้ เช่น เฟอร์นิเจอร์หรูหรือไม้บิวต์อินระดับพรีเมียม
- Select (หรือ F1F)
เกรดรองจาก FAS โดยที่หนึ่งด้านของแผ่นไม้จะคุณภาพเทียบเท่า FAS ส่วนอีกด้านใกล้เคียงกับ Common #1 ใช้งานได้ดีทั้งสองด้าน เหมาะกับงานที่โชว์ไม้หนึ่งด้าน เช่น หน้าบาน ประตู หรือแผงตกแต่ง
- #1 Common
เป็นเกรดกลาง มีตาไม้หรือรอยตามธรรมชาติบ้าง แต่ยังสามารถใช้งานได้ประมาณ 66.6% ของพื้นที่ เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ได้โชว์ทุกด้าน เช่น โครงตู้ โต๊ะ หรือเก้าอี้
- #2 Common
มีตำหนิชัดเจนขึ้น ทั้งรอยตาไม้ รอยแตก หรือเสี้ยนไม่สม่ำเสมอ แต่ยังสามารถใช้งานได้อย่างน้อย 50% ของพื้นที่ เหมาะกับงานโครงสร้างเฟอร์นิเจอร์ งานที่ต้องปิดผิวด้วยลามิเนตหรือวีเนียร์
- #3A / #3B Common
เป็นเกรดต่ำสุด ใช้งานได้จำกัด มีข้อบกพร่องหลายจุด เช่น ตาไม้ใหญ่ ผิวขรุขระ หรือไม้โก่ง เหมาะกับงาน DIY งานฝึกหัด หรืองานไม้ที่ไม่เน้นความสวยงาม
4.ไม้ต่างประเทศที่นิยม

4.1 ไม้แอช (Ash Wood)
ข้อดี:
- น้ำหนักเบา แต่แข็งแรง รับแรงกระแทกได้ดี
- ลายไม้สวย เสี้ยนตรง ทำสีและขึ้นรูปง่าย
- เหมาะสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ โมเดิร์น หรือไม้ดัดโค้ง
ข้อเสีย:
- ไม่ทนปลวกหรือความชื้น ต้องใช้งานภายใน
- ถ้าอบแห้งไม่ดี อาจบิดงอง่าย
คุณสมบัติเชิงกล
- Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ): 0.60
บ่งบอกถึงความหนาแน่นปานกลาง เหมาะกับงานที่ต้องการทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักเบา
- Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%): 673 kg/m³
ช่วยในการประเมินน้ำหนักของเฟอร์นิเจอร์หรือชิ้นงานที่ผลิตจากไม้แอช
- Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย): 10.70%
บ่งชี้การหดตัวจากไม้สดถึงไม้แห้ง หากอบไม่ดีอาจเกิดการบิดงอ
- Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ): 103.425 MPa
วัดความแข็งแรงของไม้เมื่อต้องรับแรงดัด ช่างไม้ใช้วิเคราะห์ความสามารถในการรองรับแรงโค้งหรือการใช้งานโครงสร้าง
- Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น): 11,977 MPa
เป็นตัวชี้วัดความแข็ง (stiffness) ของไม้ ยิ่งค่าสูง ยิ่งบิดตัวยาก เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความมั่นคง
- Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้): 51.092 MPa
สำคัญต่อการใช้ไม้รับน้ำหนักในแนวดิ่ง เช่น ขาโต๊ะ เสา คานไม้
- Hardness (ค่าความแข็ง): 5,871 N
ใช้ประเมินความต้านทานต่อรอยขีดข่วนหรือแรงกระแทก เช่น พื้นไม้ หรือผิวหน้าชั้นบนของโต๊ะ

4.2 ไม้วอลนัท (Walnut Wood)
ข้อดี:
- สีเข้มดูหรูหรา มีลายไม้เฉพาะตัว
- แข็งพอเหมาะ ไม่เปราะ ใช้ได้นาน
- เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม หรือบิวต์อิน
ข้อเสีย:
- ราคาสูง
- หายากในบางพื้นที่ และสีไม่เสมอกัน
คุณสมบัติเชิงกล
- Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ): 0.55
บ่งชี้ว่าเป็นไม้เนื้อแข็งระดับกลาง หนักพอสมควรแต่ยังใช้งานง่าย เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรงพอประมาณ
- Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%):609 kg/m³
น้ำหนักอยู่ในระดับปานกลาง ไม่เบาจนเปราะ และไม่หนักจนขนย้ายยาก เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความหรูหราและแข็งแรง
- Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย):10.20%
ค่าการหดตัวเมื่อไม้เปลี่ยนจากไม้สดเป็นไม้แห้ง ต้องควบคุมการอบไม้ให้ดี เพื่อลดปัญหาโก่ง บิด งอ ในระยะยาว
- Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ): 100.677 MPa
ความแข็งแรงต่อแรงดัดอยู่ในระดับดี ใช้ทำงานที่ต้องรับแรง เช่น หน้าท็อปโต๊ะ ชั้นวาง หรือโครงสร้างเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องโชว์ผิวไม้
- Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น):11,584 MPa
บ่งบอกความแข็งตัวของไม้ (Stiffness) ค่านี้เหมาะกับงานที่ต้องการความมั่นคง ไม่ยืดตัวง่าย เช่น ตู้ โต๊ะ เตียง
- Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้):52.264 MPa
เหมาะกับการใช้ทำขาโต๊ะ ขาเก้าอี้ หรือโครงเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องรับน้ำหนักแนวดิ่ง
- Hardness (ค่าความแข็ง):4,492 N
ค่าการต้านทานต่อรอยกดหรือแรงกระแทก เหมาะกับพื้นไม้หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องสัมผัสบ่อย ๆ เช่น มือจับ ตู้ หรือเคาน์เตอร์

4.3 ไม้เมเปิ้ล (Maple Wood)
ข้อดี:
- เนื้อแน่นมาก แข็งแรง ทนแรงกระแทกสูง
- สีอ่อน ขึ้นสีง่าย เหมาะกับงานตกแต่งหรือพื้นไม้
- เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์หนัก เช่น โต๊ะ เตียง
ข้อเสีย:
- ยากต่อการขัดและไส เพราะแข็งมาก
- อาจเกิดรอยสีเหลืองหากโดนความชื้นหรือ UV นาน
คุณสมบัติเชิงกล
- Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ): 0.63
ค่าความหนาแน่นสูงกว่าไม้ทั่วไป เหมาะกับงานที่ต้องการความแข็งแรงมาก เช่น พื้นไม้ หรือโครงสร้างรับแรง
- Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%):705 kg/m³
หนักพอสมควร ต้องคำนึงถึงตอนขนย้าย แต่ให้ความมั่นคงกับชิ้นงาน
- Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย):11.90%
หดตัวค่อนข้างสูง ต้องอบแห้งและควบคุมความชื้นอย่างดี ลดปัญหาโก่งหรือบิดในภายหลัง
- Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ):108.941 MPa
ความแข็งแรงต่อแรงดัดอยู่ในระดับสูง เหมาะกับงานที่มีการรับน้ำหนัก หรือแรงงอซ้ำ ๆ เช่น พื้น, บันได, โต๊ะ
- Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น):12,618 MPa
ค่าความแข็งหรือการคืนตัวของไม้ ค่อนข้างสูง เหมาะกับงานที่ต้องการความเสถียร ไม่ยืดหรือยุบตัวง่าย
- Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้):53.988 MPa
ใช้รองรับน้ำหนักแนวดิ่งได้ดี เช่น เสา ขาโต๊ะ หรือแผงพนังไม้ที่รับน้ำหนัก
- Hardness (ค่าความแข็ง):6,450 N
ค่าความต้านทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนสูง เหมาะกับพื้นไม้ที่ใช้งานหนัก หรือโต๊ะที่มีแรงกดเป็นประจำ

4.4 ไม้บีช (Beech Wood)
ข้อดี:
- เสี้ยนไม้ตรง เรียบ เนื้อแน่น
- ขึ้นรูปง่าย นิยมใช้ในงานอุตสาหกรรม เช่น IKEA
- สีค่อนข้างสม่ำเสมอ
ข้อเสีย:
- ไม่ทนน้ำ และบวมง่ายหากอยู่ในที่ชื้น
- ต้องอบแห้งให้ดี ไม่งั้นจะหดตัวมาก
คุณสมบัติเชิงกล
- Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ): 0.64
มีความหนาแน่นค่อนข้างสูง ให้ความแข็งแรงดี เหมาะกับงานที่ต้องการความมั่นคง เช่น พื้นไม้หรือโครงสร้างเฟอร์นิเจอร์
- Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%):721 kg/m³
น้ำหนักค่อนข้างมาก อาจส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายและการรับน้ำหนักของโครงสร้างพื้น
- Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย): 13.00%
หดตัวสูง ควรอบไม้ให้แห้งสนิทก่อนใช้งาน มิฉะนั้นอาจโก่ง บิด หรือแตกร้าวได้ง่าย
- Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ):102.736 MPa
มีความแข็งแรงดีต่อแรงดัด เหมาะกับชิ้นส่วนที่มีแรงโค้งงอ เช่น พนักเก้าอี้, บันได, พื้น
- Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น):11,859 MPa
มีความแข็งปานกลาง ยืดหยุ่นพอสมควร สามารถใช้งานได้ดีในงานเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป
- Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้):50.334 MPa
รับน้ำหนักจากด้านบนได้ดี ใช้ทำเสา โต๊ะ หรือเฟรมที่ต้องรองรับน้ำหนัก
- Hardness (ค่าความแข็ง):5,782 N
อยู่ในระดับปานกลาง-สูง ทนต่อรอยขีดข่วนและแรงกด เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์หรือพื้นไม้ที่มีการใช้งานประจำ

4.5 ไม้มะฮอกกานี (Mahogany Wood)
ข้อดี:
- สีแดงเข้ม สวยงาม ให้ความรู้สึกคลาสสิก
- เสี้ยนตรง ขึ้นรูปง่าย ไม้คงตัวดี
- เหมาะกับงานบิวต์อิน งานหรู งานแกะสลัก
ข้อเสีย:
- ราคาแพง
- มีของปลอมเยอะ ต้องระวังแหล่งที่มาของไม้
คุณสมบัติทางกล:
- Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ): ≈ 0.60
ไม้เนื้อแข็งปานกลาง มีความหนาแน่นสูง เหมาะกับงานที่ต้องการความแข็งแรงและความทนทาน
- Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%): ≈ 760 kg/m³
น้ำหนักปานกลางถึงหนัก ให้ความมั่นคงกับชิ้นงาน
- Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ): ≈ 100 MPa
ความแข็งแรงต่อแรงดัดสูง เหมาะกับงานที่ต้องรับแรงดัดหรือแรงงอ
- Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น): ≈ 8.30 GPa
ความยืดหยุ่นปานกลาง เหมาะกับงานที่ต้องการความเสถียรและไม่ยืดหยุ่นมากเกินไป
- Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้): ≈ 50 MPa
รองรับแรงกดจากแนวดิ่งได้ดี เช่น เสา โต๊ะ โครงไม้รับน้ำหนัก
- Hardness (ค่าความแข็ง): ≈ 4,500 N
ทนต่อรอยขีดข่วนและแรงกระแทกได้ดี เหมาะกับพื้นไม้หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานหนัก

4.6 ไม้โอ๊ค (Oak Wood)
ข้อดี:
- แข็งแรงมาก รับน้ำหนักและแรงกระแทกได้ดี
- ลายไม้เด่นชัด มีเอกลักษณ์
- ทนต่อแมลงได้ดีเมื่ออบแห้งอย่างเหมาะสม
ข้อเสีย:
- หนัก ตัดแต่งยาก
- หากใช้ไม้โอ๊คแดง อาจมีความพรุนสูง ดูดซึมความชื้น
คุณสมบัติเชิงกล
- Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ):0.63
ความหนาแน่นระดับกลาง-สูง เหมาะกับงานที่ต้องการโครงสร้างมั่นคง เช่น พื้นไม้ หรือเฟอร์นิเจอร์รับน้ำหนัก
- Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%):705 kg/m³
น้ำหนักปานกลาง อาจไม่เบาเท่าไม้เนื้ออ่อน แต่ให้ความมั่นคงและรู้สึกแข็งแรงเวลาสัมผัส
- Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย):6.6%
หดตัวน้อยกว่าหลายชนิด ควบคุมง่ายเมื่อลงงานจริง ลดโอกาสโก่งหรือแตกร้าว
- Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ):98.599 MPa
ความแข็งแรงต่อแรงดัดอยู่ในระดับดี เหมาะกับชิ้นงานที่ต้องรับแรงงอ เช่น ท็อปโต๊ะ หรือบันได
- Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น):12,549 MPa
มีค่าความแข็ง (stiffness) ค่อนข้างสูง ช่วยให้โครงสร้างไม้มั่นคง ไม่ยุบตัวง่าย เหมาะกับพื้นและเฟรม
- Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้):46.610 MPa
รองรับแรงกดจากแนวดิ่งได้ดีพอสมควร ใช้กับขาโต๊ะ เสา หรือโครงที่รับน้ำหนัก
- Hardness (ค่าความแข็ง):5,738 N
ความต้านทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนอยู่ในระดับปานกลาง-สูง เหมาะกับพื้นไม้หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานทุกวัน

4.7 ไม้เชอร์รี่ (Cherry Wood)
ข้อดี:
- สีแดงอมส้ม ลายไม้ละเอียด สวยงาม
- ผิวเนียน ขึ้นเงาและทำสีได้ดี
- สีเข้มขึ้นตามอายุ ช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่น
ข้อเสีย:
- ไม่ทนแดด สีซีดง่าย
- ไม้ไม่แข็งเท่าเมเปิ้ลหรือโอ๊ค อาจไม่เหมาะกับงานรับแรง
คุณสมบัติเชิงกล
- Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ):0.50
ความหนาแน่นปานกลาง เหมาะกับงานภายใน ไม่เน้นรับแรงมากนัก เช่น งานตกแต่ง ผนัง หรือบิวต์อิน
- Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%): 561 kg/m³
ค่อนข้างเบาเมื่อเทียบกับไม้เนื้อแข็งอื่น ช่วยให้งานติดตั้งง่ายและน้ำหนักรวมของเฟอร์นิเจอร์ไม่มาก
- Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย):9.20%
หดตัวในระดับกลาง ต้องควบคุมความชื้นให้ดี โดยเฉพาะถ้าใช้งานในสภาพอากาศแปรปรวน
- Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ):84.809 MPa
แข็งแรงพอสมควรต่อแรงดัด แต่ยังไม่เหมาะกับงานที่รับแรงมากหรือซ้ำ ๆ
- Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น):10,274 MPa
ไม่แข็งมากนัก เหมาะกับงานตกแต่งทั่วไป ไม่แนะนำสำหรับโครงสร้างที่ต้องการความมั่นคงสูง
- Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้):49.023 MPa
รองรับแรงกดในแนวดิ่งได้ระดับปานกลาง เหมาะกับขาโต๊ะหรือกรอบที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก
- Hardness (ค่าความแข็ง):4,226 N
มีค่าความต้านทานแรงกระแทกและรอยขีดข่วนในระดับต่ำถึงกลาง แนะนำสำหรับพื้นที่ที่ไม่โดนเหยียบหรือกระแทกบ่อย

4.8 ไม้สน (Pine Wood)
ข้อดี:
- น้ำหนักเบา ราคาถูก หาง่าย
- ทำงานง่าย ขึ้นรูปไว นิยมใช้ในเฟอร์นิเจอร์ DIY
- มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ
ข้อเสีย:
- เป็นไม้เนื้ออ่อน ขีดข่วนง่าย
- ไม่ทนปลวก ต้องอาบน้ำยาหรือเคลือบก่อนใช้งาน
คุณสมบัติทางกลและทางกายภาพ:
- Specific Gravity (ความถ่วงจำเพาะ): ≈ 0.43
ไม้มีน้ำหนักเบาถึงปานกลาง ทำให้ขนย้ายง่าย เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ DIY หรืองานตกแต่งทั่วไป
- Average Weight (น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%): ≈ 505 kg/m³
ค่อนข้างเบา ใช้งานง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการงานไม้แบบไม่ต้องรับแรงมาก
- Average Volume Shrinkage (อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย): ≈ 10%
หดตัวปานกลาง หากอบแห้งไม่ดีอาจเกิดการบิดหรือแตกร้าว ต้องควบคุมความชื้นก่อนใช้งาน
- Modulus of Rupture (ค่าความต้านทานการหักงอ): ≈ 65 MPa
รับแรงดัดพอใช้ได้ เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่รับแรงหนัก เช่น ชั้นวางของ ตู้
- Modulus of Elasticity (ค่าความยืดหยุ่น): ≈ 8,500 MPa
ไม้มีความยืดหยุ่นค่อนข้างดี เหมาะกับงานโครงสร้างที่ต้องการการคืนตัวหรือไม่ต้องแข็งมาก
- Compressive Strength (ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้): ≈ 40 MPa
รับแรงกดพอประมาณ เหมาะกับโครงสร้างเบา เช่น ขาโต๊ะ หรือชั้นไม้
- Hardness (ค่าความแข็ง):≈ 2,000 N
ค่าความแข็งไม่สูง ขีดข่วนได้ง่าย ต้องเคลือบผิวหากต้องการใช้งานนานหรือในพื้นที่เปียก

4.9 ไม้ป็อปล่า (Poplar Wood)
ข้อดี:
- น้ำหนักเบา ทำงานง่าย
- สีอ่อน ขึ้นสีและพ่นสีง่าย เหมาะกับงานตกแต่ง
- ราคาไม่แพงมาก นิยมใช้เป็นโครงภายในเฟอร์นิเจอร์
ข้อเสีย:
- ลายไม้ไม่สวยมาก
- ไม่แข็งแรงเท่าไม้เนื้อแข็งอื่น ๆ ไม่เหมาะกับงานรับแรงโดยตรง
คุณสมบัติเชิงกล
- Specific Gravity ความถ่วงจำเพาะ: ≈ 0.36
เป็นไม้เนื้ออ่อน น้ำหนักเบา เหมาะกับงานที่ไม่ต้องการรับน้ำหนักมาก เช่น โครงภายในเฟอร์นิเจอร์ หรือชิ้นงานตกแต่ง
- Average Weight น้ำหนักเฉลี่ยเมื่อความชื้น 12%: ≈ 452 kg/m³
น้ำหนักเบา ช่วยให้ง่ายต่อการขนย้ายและติดตั้ง
- Average Volume Shrinkage อัตราการหดตัวโดยเฉลี่ย: ≈ 12%
มีการหดตัวค่อนข้างสูงเมื่อแห้ง ควรอบแห้งและควบคุมความชื้นอย่างเหมาะสมเพื่อลดปัญหาการบิดงอหรือแตกร้าว
- Modulus of Rupture ค่าความต้านทานการหักงอ: ≈ 64 MPa
ความแข็งแรงต่อแรงดัดอยู่ในระดับต่ำมาก
- Modulus of Elasticity ค่าความยืดหยุ่น : ≈ 10,200 MPa
ความแข็งหรือการคืนตัวของไม้ในระดับปานกลาง เหมาะกับงานที่ต้องการความเสถียรพอสมควร
- Compressive Strength ความแข็งแรงต่อแรงอัดในแนวเสี้ยนไม้ : ≈ 36 MPa
สามารถรองรับน้ำหนักแนวดิ่งได้ดีในระดับหนึ่ง เหมาะกับงานที่มีแรงกดปานกลาง
- Hardness ค่าความแข็ง : ≈ 2,100 N
ความต้านทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง ไม่เหมาะกับพื้นไม้ที่ใช้งานหนัก
ref : https://www.americanhardwood.org/en/american-hardwood/american-ash
5.ไม้ไทยที่นิยม
5.1 ไม้สัก (Teak Wood)
ข้อดี:
- ทนปลวกตามธรรมชาติ (มีน้ำมันในเนื้อไม้)
- ทนน้ำ ทนชื้น เหมาะกับงานภายนอก
- ไม้แข็งแรง ใช้งานได้นานหลายสิบปี
- ผิวสัมผัสสวย ลายไม้หรูหรา
ข้อเสีย:
- ราคาสูง
- หาของแท้ยากในตลาดทั่วไป
- มีไม้เลียนแบบมาก ต้องระวังแหล่งซื้อ
5.2 ไม้ยางพารา (Rubberwood)
ข้อดี:
- ราคาย่อมเยา เหมาะกับงานทั่วไป
- น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย
- สีสว่าง ขัดทำสีได้หลากหลาย
ข้อเสีย:
- ไม่ทนปลวก หากไม่ผ่านกระบวนการอบ/เคลือบ
- ทนความชื้นต่ำ
- มีโอกาสบิดงอง่ายถ้าไม่อบแห้งดี
5.3 ไม้เต็ง (Teng Wood)
ข้อดี:
- แข็งแรง ทนแรงกระแทก เหมาะกับงานโครงสร้าง
- ทนแดด ทนฝน
- อายุการใช้งานยาวนานมาก
ข้อเสีย:
- ผิวไม้หยาบ ไม่เหมาะกับงานตกแต่งละเอียด
- หนักมาก เคลื่อนย้ายลำบาก
- แปรรูปยาก ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ
5.4 ไม้แดง (Rosewood)
ข้อดี:
- แข็งแรงมาก
- ทนต่อปลวกและความชื้นได้ดี
- ลายไม้สวย สีเข้มดูหรูหรา
ข้อเสีย:
- ราคาสูง
- สีเข้มมาก อาจไม่เข้ากับการตกแต่งแบบสมัยใหม่
- หนัก แปรรูปยาก
5.5 ไม้สะเดา (Neem Wood)
ข้อดี:
- มีน้ำมันธรรมชาติ ช่วยกันปลวก
- เป็นไม้เนื้อแข็ง หาง่ายในประเทศ
- ราคาประหยัด
ข้อเสีย:
- กลิ่นแรงเมื่อตัดหรือแปรรูปใหม่
- สีไม้ไม่สวยเท่าไม้พรีเมียม
- ต้องผ่านการอบแห้งอย่างดี
5.6 ไม้ทุเรียน (Durian Wood)
ข้อดี:
- น้ำหนักเบา
- ราคาถูก
- เหมาะกับงาน DIY และงานชั่วคราว
ข้อเสีย:
- ไม่ทนปลวก
- ไม่เหมาะกับงานโครงสร้างหรือภายนอก
- เปราะและแตกง่าย
5.7 ไม้ประดู่ (Padauk Wood)
ข้อดี:
- แข็งแรงมาก ทนปลวก
- สีไม้สวย น้ำตาลอมแดง ลายเด่น
- ใช้งานได้ทั้งโครงสร้างและตกแต่ง
ข้อเสีย:
- ราคาสูงกว่าไม้ทั่วไป
- สีซีดจางเมื่อโดนแดด หากไม่เคลือบ
5.8 ไม้ตะแบก (Takian Wood)
ข้อดี:
- แข็งแรง ทนความชื้นสูง
- ทนต่อปลวกและแมลงในระดับดี
- เหมาะกับงานโครงสร้าง
ข้อเสีย:
- หนักมาก
- แปรรูปยาก ต้องใช้ช่างฝีมือ
- บางพันธุ์ลายไม้อาจไม่ชัดเท่าที่คาดหวัง
6. ไม้ต่างประเทศคุณภาพดีต้องร้านวิวัฒน์ชัยค้าไม้
หากคุณกำลังมองหาไม้แปรรูปนำเข้าคุณภาพสูงสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ บิวต์อิน หรือโครงการตกแต่งภายในที่ต้องการความหรูหราและคงทน ร้านวิวัฒน์ชัยค้าไม้ คือแหล่งรวมไม้ต่างประเทศชั้นนำจากยุโรปและอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นไม้วอลนัท (Walnut), ไม้โอ๊ค (Oak), ไม้แอช (Ash), ไม้บีช (Beech) หรือไม้เชอร์รี่ (Cherry) ทุกชนิดผ่านการอบแห้งและคัดเกรดอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ถึงคุณภาพ ความสวยงามของลายไม้ และการใช้งานที่ยาวนาน เราพร้อมให้คำแนะนำโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณได้ไม้ที่ตรงกับความต้องการที่สุด เพราะเราเชื่อว่า “งานไม้ดี เริ่มต้นจากวัสดุดี” และเราคือร้านที่ใส่ใจในทุกขั้นตอนของการคัดสรรไม้ให้คุณ
Contact :
Line OA : @viwatchai
Social Media Link : https://linktr.ee/viwatchai.kamai
Google Map : https://maps.app.goo.gl/9SUJ3URFxuuzTVc19
Call : 02-585-7575, 02-585-6950