ไม้แปรรูป ไม้ท่อนต่างประเทศ ทนน้ำ-ฝนได้จริง? ไม้ 3 ชนิดยอดนิยม เจาะลึกคุณสมบัติไม้แปรรูปนำเข้า

ไม้แปรรูป ไม้ท่อนต่างประเทศ ทนน้ำ-ฝนได้จริง? ไม้ 3 ชนิดยอดนิยม เจาะลึกคุณสมบัติไม้แปรรูปนำเข้า

ไม้แปรรูป ไม้ท่อนต่างประเทศ ทนน้ำ-ฝนได้จริง? ไม้ 3 ชนิดยอดนิยม เจาะลึกคุณสมบัติไม้แปรรูปนำเข้า

ในยุคที่การแต่งบ้านด้วยวัสดุธรรมชาติกำลังกลับมาเป็นเทรนด์อีกครั้ง “ไม้แปรรูปนำเข้า” กลายเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับใครที่ต้องการทั้งความสวยงาม ความแข็งแรง และความคงทนในระยะยาว แต่คำถามสำคัญที่หลายคนยังสงสัยคือ ไม้เหล่านี้ ทนน้ำ ทนฝน ได้จริงไหม? ถ้านำไปใช้กับงานภายนอกหรือในพื้นที่ชื้น จะบิด งอ หรือผุพังเร็วหรือไม่?

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับไม้แปรรูปนำเข้า 3 ชนิดยอดนิยม ที่ทั้งช่างไม้ นักออกแบบ และเจ้าของบ้านให้การยอมรับ พร้อมเจาะลึกคุณสมบัติที่ควรรู้ ทั้งการทดลอง ไม้แปรรูปกันน้ำจริงไหม และความเหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองไทย เพื่อให้คุณตัดสินใจเลือกไม้ได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าที่สุด

1.ไม้ต่างประเทศ (ไม้แปรรูป)คืออะไร

ไม้ต่างประเทศ คือไม้แปรรูปหรือไม้ธรรมชาติที่นำเข้าจากต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่มาจากทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ แอฟริกา หรือเอเชียตะวันออก เช่น ไม้วอลนัท (Walnut), ไม้โอ๊ค (Oak), ไม้เมเปิ้ล (Maple), ไม้มะฮอกกานี (Mahogany) และไม้แอช (Ash) โดยไม้เหล่านี้มักมีลวดลาย เสี้ยนไม้ และสีเฉพาะตัวที่สวยงาม ให้ความรู้สึกหรูหราและมีเอกลักษณ์ แตกต่างจากไม้พื้นเมืองทั่วไป อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น ความแข็งแรง การยืดหยุ่น และการรับแรงดัดที่ดี จึงนิยมใช้ในงานตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์บิวต์อิน และงานไม้ระดับพรีเมียม อย่างไรก็ตาม การใช้งานในประเทศไทยซึ่งมีสภาพอากาศร้อนชื้น อาจต้องเลือกชนิดไม้ให้เหมาะสมหรือผ่านการอบแห้งและเคลือบผิวอย่างดี เพื่อลดปัญหาการบิดงอหรือเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานจริง

2.ข้อควรรู้ก่อนใช้ไม้ยุโรปหรืออเมริกาในบ้านเรา

2.1 สภาพอากาศแตกต่าง มีผลต่อการหด บิด บวม

ไม้ที่นำเข้าจากยุโรปหรืออเมริกาส่วนใหญ่มักเติบโตในสภาพภูมิอากาศที่เย็นและแห้ง เช่น ป่าสนในแถบยุโรปเหนือ หรือไม้เนื้อแข็งในโซนอเมริกาเหนือ ซึ่งมีอุณหภูมิแตกต่างจากประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ เมื่อไม้เหล่านี้ถูกนำมาใช้งานในบ้านเราที่มีลักษณะอากาศร้อนชื้นตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนหรือฤดูร้อนที่มีความชื้นสัมพัทธ์สูงมาก อาจส่งผลให้เนื้อไม้เกิดอาการ “หดตัว” หรือ “ขยายตัว” ได้อย่างมีนัยสำคัญ หากไม้ไม่ได้ผ่านการอบแห้ง (Kiln-Dried) อย่างเหมาะสม หรือไม่ได้ซีลผิวด้วยน้ำยาเคลือบกันความชื้น ก็อาจทำให้เกิดปัญหาโก่งงอ แตก หรือหลุดร่อนในระยะยาว

2.2 เลือกเกรดไม้ให้เหมาะกับประเภทของงานและตำแหน่งใช้งาน

ไม้ที่นำเข้าในท้องตลาดมักมีการแบ่งเกรดคุณภาพ เช่น FAS (First and Seconds), Select, หรือ Common โดยเกรดเหล่านี้มีผลต่อความเรียบร้อยของผิวไม้ จำนวนตาไม้ รอยแตกร้าว และโอกาสในการนำไปตัดใช้งาน

  • หากเป็นงาน ภายใน เช่น เฟอร์นิเจอร์, บิวต์อิน หรือผนังไม้ ควรเลือกไม้เกรด FAS หรือ Select ที่มีตาน้อย ไม่มีรอยโป๊วหรือรอยแตก จะทำให้งานออกมาสวยเรียบและแข็งแรงในระยะยาว
  • สำหรับงาน ภายนอก เช่น ระเบียง, ระแนง, หรือผนังนอกอาคาร ควรเลือกไม้ที่มีความทนทานต่อปลวก ความชื้น และแสงแดดโดยธรรมชาติ เช่น ไม้ Teak (ไม้สัก), หรือ ThermoWood (ไม้ผ่านกระบวนการอบด้วยความร้อนสูงเพื่อลดความชื้นและเพิ่มความเสถียรของเนื้อไม้)

2.3 เคลือบผิวไม้ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองไทย

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่มักพบในการใช้งานไม้ยุโรปหรืออเมริกาในไทยคือ “การปล่อยผิวไม้เปลือย” โดยเฉพาะในพื้นที่ที่โดนแดดหรือฝนโดยตรง ซึ่งอาจทำให้เนื้อไม้เสื่อมเร็ว หรือเปลี่ยนสีได้ การเคลือบผิวด้วยวัสดุป้องกัน UV, น้ำยาเคลือบกันชื้น หรือแลคเกอร์สูตรภายนอกอาคาร เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดการดูดซึมความชื้น ป้องกันเชื้อรา และยืดอายุการใช้งานของไม้ในสภาพแวดล้อมร้อนชื้นแบบไทย

2.4 ตรวจสอบใบรับรอง FSC และการนำเข้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ปัจจุบันผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน (Sustainability) ควรให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของไม้ โดยเลือกใช้ไม้ที่มีใบรับรอง FSC (Forest Stewardship Council) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการดูแลป่าไม้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบว่าไม้ดังกล่าวไม่อยู่ในบัญชีไม้หวงห้ามตามอนุสัญญา CITES (Convention on International Trade in Endangered Species) เพราะการนำเข้าไม้ที่ละเมิดข้อกำหนดอาจส่งผลกระทบต่อผู้นำเข้าและโครงการก่อสร้างในเชิงกฎหมาย

3.ทดลอง ไม้แปรรูป ทนน้ำจริงไหม? 

4.เปรียบเทียบคุณสมบัติ ไม้แอช ไม้โอ๊ค ไม้วอลนัท

4.1 ไม้แอช (Ash Wood)

ข้อดี:

  • ไม้แอชมีลายไม้สวย สีอ่อน ดูอบอุ่น นิยมในงานเฟอร์นิเจอร์
  • มีค่าความแข็ง (Hardness) สูง เหมาะกับพื้นไม้หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานบ่อย

ข้อเสีย:

  • ไม้แอชมีโครงสร้างเนื้อไม้ที่เป็นรูพรุน (porous) และ ดูดซึมน้ำง่าย
  • ไม่มีน้ำมันธรรมชาติในเนื้อไม้ จึง ไม่สามารถต้านความชื้นหรือปลวกได้ดี
  • หากไม่เคลือบผิวอย่างเหมาะสม จะเกิดการ บวม, โก่ง, หรือราขึ้นได้ง่าย

Average Volume Shrinkage

=10.70% การหดตัวของปริมาตรจากเปียก ไปแห้ง สูงกว่าค่ามาตรฐาน บ่งบอกว่าไวต่อการยืด/หดเมื่อสัมผัสน้ำหรือความชื้น

4.2 ไม้โอ๊ค (Oak Wood)

แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

4.2.1 White Oak

ข้อดี:

  • มีโครงสร้างเนื้อไม้แน่น เซลล์ไม้ “ปิด” ไม่ดูดซึมน้ำง่าย
  • มีสารแทนนิน (Tannin) ตามธรรมชาติ ช่วยต้านปลวกและความชื้น

ข้อเสีย:

  • ต้องอบแห้งดีและเคลือบอย่างเหมาะสม หากใช้ภายนอก
  • ราคาสูง และทำงานยากกว่าบางชนิด

Average Volume Shrinkage

= 12.273% White Oak มี Cell structure แบบปิด (closed pores) ทำให้เนื้อไม้ไม่ดูดซึมน้ำมากนัก หากเคลือบผิวแล้วถือว่าทนชื้นดี

4.2.2 Red Oak

ข้อดี:

  • แข็งแรง ลายไม้ชัด
  • เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ภายใน

ข้อเสียเกี่ยวกับน้ำ:

  • โครงสร้างไม้เป็นแบบ open grain ดูดน้ำง่าย
  • เสี่ยงต่อการบวมและเชื้อราในอากาศชื้น

Average Volume Shrinkage

= 6.6%การหดตัวของปริมาตรจากเปียกจนแห้ง อยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง บ่งบอกว่าทนชื้นดีกว่าไม้บางชนิด เช่น Ash

4.3 ไม้วอลนัท (Walnut Wood)

ข้อดี:

  • สีเข้ม ลายสวย ให้ความรู้สึกหรูหรา
  • เหมาะกับงานบิวต์อินและเฟอร์นิเจอร์โชว์ผิว

ข้อเสียเกี่ยวกับน้ำและความชื้น:

  • เนื้อไม้ค่อนข้าง พรุน ดูดซึมน้ำง่าย
  • หากไม่ได้ซีลผิว เคลือบหรืออบแห้งดี  อาจ โก่งงอหรือแตกร้าวได้ในอากาศชื้น

Average Volume Shrinkage

=10.20% การหดตัวจากเปียกจนแห้ง  ถ้าเกิน 8% ถือว่าค่อนข้างมีผล

ref  : https://www.americanhardwood.org/th/american-hardwood

5. ไม้ที่ทนทานต่อสภาพอากาศสามารถนำไปใช้ได้ที่ใดบ้าง?

ไม้สามารถนำมาใช้ในงานตกแต่งภายใน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้งานภายในบ้านได้ดังนี้:

5.1 พื้นไม้ภายในบ้าน

พื้นที่ภายในอย่าง ห้องนั่งเล่น, ห้องนอน, หรือ โถงทางเดิน ล้วนเหมาะกับไม้ที่ทนต่อการหด-ขยายตามอุณหภูมิ เช่น ไม้ที่มีค่า shrinkage ต่ำและเสถียร เพราะจะช่วยลดปัญหาพื้นโก่ง บิด หรือปูดในระยะยาว

5.2 ห้องน้ำโซนแห้ง / ห้องซักรีด

แม้จะไม่โดนน้ำโดยตรง แต่พื้นที่เหล่านี้มีไอน้ำ ความชื้น และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ การเลือกไม้ที่ทนชื้นได้ดีจะช่วยให้ใช้งานได้นานขึ้น เช่น ใช้กับ ตู้ลอย, เคาน์เตอร์ล้างมือ, ชั้นวางของ หรือ ฝ้าไม้ เพิ่มความอบอุ่นให้กับห้อง

5.3 เฟอร์นิเจอร์ห้องครัว

เช่น หน้าบานตู้, โต๊ะรับประทานอาหาร, เคาน์เตอร์บาร์ไม้ การใช้ไม้ที่ทนต่อไอน้ำ ร้อน และไม่เสียรูปง่าย ทำให้เฟอร์นิเจอร์ดูดีอยู่ได้นาน และทำความสะอาดง่ายกว่าไม้ทั่วไป

5.4 ตกแต่งผนังภายใน

ไม้ที่มีลวดลายสวย ทนต่อสภาพอากาศ จะไม่บิดหรือหดตัวเมื่ออยู่ในห้องที่มีแสงแดดส่อง เช่น ผนังไม้ตกแต่งหัวเตียง, ผนังหลังทีวี, หรือ ฝ้าไม้ระแนง ให้ความรู้สึกหรูหราแบบธรรมชาติ

5.5 บันไดไม้และลูกนอน

บันไดเป็นพื้นที่ที่รับแรงกระแทกบ่อย การใช้ไม้ที่มีความแข็งสูงและไม่ลื่นง่าย ช่วยยืดอายุการใช้งาน และปลอดภัยต่อสมาชิกในบ้าน โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือเด็ก

5.6 งานบิวต์อินเฟอร์นิเจอร์

ไม่ว่าจะเป็น ตู้เสื้อผ้า, ชั้นวางทีวี, หรือ โต๊ะทำงาน หากอยู่ในห้องที่มีแอร์ หรือแดดส่องถึงบ้างในบางช่วง ไม้ที่คงรูปดีจะช่วยให้บิวต์อินดูใหม่ตลอดเวลา ไม่แอ่น ไม่แยกตามรอยต่อ

6. แล้วเราควรเลือกไม้แบบไหนดี?

6.1 ประเภทของงาน
ไม้แต่ละชนิดเหมาะกับงานไม่เหมือนกัน เช่น:

  • งานพื้นระเบียง หรือพื้นทางเดิน ควรเลือกไม้ที่ รับแรงกดและแรงเสียดสีได้ดี
    ผนังหรือแผงบังแดด ไม้ที่มีลวดลายสวย
  • อย่าใช้ไม้เนื้ออ่อนอย่าง Poplar หรือ Pine สำหรับงานภายนอก เพราะไม่ทนสภาพแวดล้อม

6.2 สภาพแวดล้อม

  • การใช้ไม้ในแต่ละภูมิประเทศต้องดู ปริมาณฝน, ความชื้น และแดด
  • ถ้าเป็นพื้นที่กลางแจ้งที่แดดจัดทั้งวัน ใช้ไม้ที่ มีน้ำมันในเนื้อไม้ หรือเคลือบ UV ได้ดี
    อย่าลืมว่าความชื้นในไทยสูง ไม้ต้อง “ผ่านการอบแห้ง” และ “ซีลผิว” เพื่อไม่ให้โก่งงอในระยะยาว

6.3 ความสวยงามที่ต้องการ

ไม้บางชนิดมีลายเด่น ช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้กับพื้นที่ได้

  • Mahogany โทนแดงเข้ม ให้ความรู้สึกหรูหรา คลาสสิก
  • Oak ลายไม้เด่นชัด เหมาะกับบ้านสไตล์มินิมอล / คันทรี
  • Walnut โทนเข้ม หรูแบบโมเดิร์น

6.4 งบประมาณ และอายุการใช้งาน

การเลือกไม้ไม่ใช่แค่เลือกแบบที่สวยที่สุด หรือแข็งแรงที่สุดเท่านั้น แต่ต้อง “ดูงบตัวเอง” เป็นหลัก เพราะไม้แต่ละชนิดมีราคาต่างกันมาก และราคาก็สะท้อนถึงอายุการใช้งานโดยตรง อย่าลืมบวกงบประมาณสำหรับ “การเคลือบผิว + ค่าติดตั้ง” เข้าไปด้วยเส

การเลือกใช้ไม้แปรรูปหรือไม้ท่อนนำเข้าจากต่างประเทศ ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่เพียงเรื่องลวดลายสวยงามหรือความหรูหราที่ไม้แต่ละชนิดมอบให้เท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาคุณสมบัติเชิงเทคนิคที่สัมพันธ์กับสภาพอากาศในไทย โดยเฉพาะเรื่องความทนชื้นและการหดตัวเมื่อเจอฝนหรือความชื้นสูง เช่น ไม้โอ๊คที่มีค่าการยืดหดตัวต่ำและแข็งแรง เหมาะกับงานตกแต่งภายในและพื้นบ้าน, ไม้แอชที่เด่นด้านความแข็งแรงและการทนแรงกระแทก และไม้วอลนัทที่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหรา พร้อมรับแรงอัดได้ดีในงานเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม ซึ่งทั้งหมดนี้ ถ้าคุณต้องการไม้คุณภาพดีที่ผ่านการอบแห้งมาตรฐาน พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ “วิวัฒน์ชัยค้าไม้” คือแหล่งจำหน่ายไม้แปรรูปและไม้ท่อนนำเข้าที่ตอบโจทย์ทั้งความสวยและความทนในงานไม้ทุกประเภท

Contact :
Line OA : @viwatchai
Social Media Link : https://linktr.ee/viwatchai.kamai
Google Map : https://maps.app.goo.gl/9SUJ3URFxuuzTVc19
Call : 02-585-7575, 02-585-6950