ไม้แอช (Ash Wood) เป็นหนึ่งใน ไม้เนื้อแข็ง ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี มนุษย์รู้จักและนำไม้แอชมาใช้ตั้งแต่ยุคหินใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือการเกษตร อาวุธ ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานของบ้านเรือน ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นทั้งความแข็งแรง ยืดหยุ่น และลายไม้ที่สวยงาม ทำให้ไม้แอชกลายเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แม้เวลาจะผ่านมาหลายศตวรรษ ปัจจุบันไม้แอชยังคงถูกใช้แพร่หลายไปทั่วโลก ไม่ว่าจะในยุโรป อเมริกา หรือเอเชีย ทั้งในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ งานพื้นไม้ กีฬา และดนตรี ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับไม้แอช 10 สายพันธุ์สำคัญ ที่ถูกค้นพบและใช้งานจริงทั่วโลก พร้อมเปรียบเทียบคุณสมบัติ ถิ่นกำเนิด การใช้งาน และความแตกต่างของแต่ละชนิด เพื่อเป็นคู่มือสำหรับนักออกแบบ ช่างไม้ และเจ้าของบ้านที่กำลังมองหาไม้คุณภาพสำหรับงานต่าง ๆ
1. White Ash
White Ash เป็นไม้แอชสายพันธุ์หลักของอเมริกาเหนือ พบมากในสหรัฐและแคนาดา มี heartwood สีน้ำตาลอมเทา ส่วน sapwood สีอ่อนเกือบขาว ลายไม้ตรงชัดเจนและมีความสม่ำเสมอ จุดเด่นคือความแข็งแรงและความสามารถในการดูดซับแรงกระแทก (shock resistance) ได้ดีเยี่ยม ค่าความแข็ง Janka อยู่ที่ประมาณ 1,320 lbf เหมาะสำหรับงานที่ต้องการทนแรงกระแทก เช่น ไม้เบสบอล ไม้คริกเก็ต เฟอร์นิเจอร์ที่ต้องรับน้ำหนัก รวมถึงพื้นไม้จริง ทริคการเลือกคือ เลือกไม้ที่มีลายตรงและสีสม่ำเสมอ เหมาะกับงานโชว์ลายและงานกีฬาที่ต้องการความทนทานสูง อ่านบทความ การใช้งานของไม้แอช เพิ่มเติมได้ที่นี่
2. European Ash
European Ash พบมากในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษและยุโรปตะวันออก เป็นสายพันธุ์ที่มีลายไม้ชัดเจน สวยงาม สีของ sapwood จะออกอ่อนครีม ส่วน heartwood จะอมสีน้ำตาลอมเทา ความแข็งอยู่ที่ประมาณ 1,480 lbf แข็งกว่าสายพันธุ์ White Ash เล็กน้อย จุดเด่นคือคุณสมบัติการดัดโค้งด้วยไอน้ำได้ดีเยี่ยม จึงนิยมใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ bent-wood งานโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงและการออกแบบที่มีความโค้งมน เช่น บันไดหรือเก้าอี้โค้ง ทริคการเลือก: หากต้องการงานดีไซน์ที่มีเส้นโค้ง European Ash คือคำตอบ เพราะยืดหยุ่นมากกว่าสายพันธุ์อื่น
3. Black Ash
Black Ash เป็นไม้แอชสายพันธุ์จากอเมริกาเหนือ (พบมากในพื้นที่ชื้นของแคนาดาและสหรัฐตอนเหนือ) ลักษณะ heartwood สีเข้มกว่าสายพันธุ์อื่น มีโทนน้ำตาลเทาอมดำ เนื้อไม้ค่อนข้างอ่อนและมีค่าความแข็งต่ำกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ (ประมาณ 850 lbf) ความโดดเด่นอยู่ที่เสี้ยนไม้สามารถแยกเป็นเส้น ๆ ได้ง่ายเมื่อนำไปตีหรือแช่น้ำ จึงนิยมใช้ในงานถักสาน เช่น ทำตะกร้า เครื่องจักสาน และงานศิลป์บางประเภท ถือว่าเป็น niche market มากกว่าเฟอร์นิเจอร์หรือพื้นไม้ทั่วไป ทริคการเลือก: ถ้าต้องการงาน craft หรือ handmade ที่เน้นการสานไม้ Black Ash คือไม้ที่หาได้ยากและมีคุณค่ามาก
เนื้อไม้ค่อนข้างอ่อนกว่าแอชสายพันธุ์อื่น
เสี้ยนไม้แตกง่าย สามารถตีให้เป็นเส้นบาง ๆ ได้
4. Swamp Ash
Swamp Ash มักเติบโตในพื้นที่ชุ่มน้ำหรือดินชื้นในสหรัฐตอนใต้ เช่น Louisiana และ Texas ลักษณะ heartwood มีสีน้ำตาลอ่อน ส่วน sapwood ออกเกือบขาว เนื้อไม้มีน้ำหนักเบากว่าสายพันธุ์อื่น (Janka ~1,180 lbf) ทำให้ใช้งานง่ายและเคลื่อนย้ายสะดวก จุดเด่นอยู่ที่โทนเสียงเมื่อใช้ทำเครื่องดนตรี โดยเฉพาะกีตาร์ไฟฟ้าและเบสไฟฟ้า เพราะให้เสียงโปร่ง กังวาน และมี sustain ที่ดีเยี่ยม ทริคการเลือก: สำหรับนักดนตรีหรือผู้ผลิตเครื่องดนตรี Swamp Ash เป็นไม้ที่หายากขึ้นเรื่อย ๆ และถือเป็น “ไม้พิเศษ” ที่ทำให้ชิ้นงานมีคุณค่า
ลายไม้กว้าง โปร่ง ดูมีมิติและโดดเด่น
สีไม้โทนอ่อนจนถึงน้ำตาลอ่อน สว่างและดูร่วมสมัย
5.Green Ash
หรือที่รู้จักกันว่า Red Ash หรือ Swamp Ash พบทั่วไปในอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำ ลักษณะไม้มีเสี้ยนตรง น้ำหนักปานกลางถึงค่อนข้างเบา สีไม้โทนครีมถึงน้ำตาลอ่อน มีความสามารถปรับตัวได้ดีในสภาพเมืองที่มีมลพิษ นิยมใช้เป็นไม้ปลูกให้ร่มและเป็นไม้โครงสร้าง ค่าความแข็ง Janka ประมาณ 1,200 lbf เหมาะกับงานพื้นไม้และเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป
6.Blue Ash
พบในแถบมิดเวสต์ของสหรัฐอเมริกา
จุดเด่นคือเปลือกชั้นในสามารถเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินได้
เนื้อไม้มีเสี้ยนตรงค่อนข้างหยาบ
ทนแล้งได้ดี เหมาะกับพื้นที่ดินแห้งหรือดินปานกลาง
สีไม้โทนครีมถึงน้ำตาลอ่อน ให้ลุคธรรมชาติ
นิยมใช้ในงานโครงสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และการก่อสร้างทั่วไป
ค่าความแข็ง Janka ประมาณ 1,320 lbf ใกล้เคียงกับ White Ash
7. Manna Ash
มีถิ่นกำเนิดในยุโรปตอนใต้และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ จุดเด่นคือมีน้ำยางหวานที่เคยถูกใช้เป็นอาหารในอดีต เนื้อไม้ค่อนข้างแข็งปานกลาง สีไม้โทนอ่อนถึงน้ำตาล ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ งานตกแต่ง และงานภายนอกบางส่วน ค่าความแข็ง Janka อยู่ราว 1,200–1,300 lbf
8.Pumpkin Ash
พบในพื้นที่ชื้นของอเมริกาตะวันออกเฉียงเหนือ
ลำต้นบริเวณโคนพองออกคล้ายฟักทอง จึงเป็นที่มาของชื่อ
เนื้อไม้มีน้ำหนักปานกลางถึงเบา ค่อนข้างอ่อน
สีไม้โทนธรรมชาติ ใช้ได้ในงานพื้นและโครงสร้างภายใน
ค่าความแข็ง Janka ประมาณ 870 lbf จัดว่าอ่อนกว่าแอชชนิดอื่น
เหมาะกับงานก่อสร้างเบา พื้นไม้ และงานตกแต่งภายใน
ความทนทานต่ำ จึงไม่เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมไม้ขนาดใหญ่
9.Manchurian Ash
ถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกาหลี และรัสเซียตะวันออกเฉียงเหนือ จุดเด่นคือมีความทนทานต่อ Emerald Ash Borer มากกว่าสายพันธุ์อเมริกาเหนือ เนื้อไม้แข็งแรงปานกลาง สีครีมอมเหลืองถึงน้ำตาล ลายไม้ตรงสวย ใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ พื้นไม้ และโครงสร้าง ค่าความแข็ง Janka ประมาณ 1,200–1,300 lbf
10.Narrow Leaf As
หรือ Desert Ash พบในยุโรป แอฟริกา และเอเชีย นิยมปลูกในเมืองเพราะทนสภาพแวดล้อมได้ดี เนื้อไม้แข็งแรงปานกลาง ลายไม้ละเอียด สีไม้ครีมถึงน้ำตาลอมเหลือง ค่าความแข็ง Janka ประมาณ 1,200–1,300 lbf ใช้ในงานโครงสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และงานตกแต่ง
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ไม้แอช ถือเป็นหนึ่งในไม้เนื้อแข็งที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความสวยงามและการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรงที่เหมาะกับงานโครงสร้าง ความยืดหยุ่นที่เหมาะกับการดัดโค้ง หรือความกังวานที่ทำให้เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมดนตรี แต่ละสายพันธุ์ก็มีจุดเด่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้ไม้แอชหรือไม้เนื้อแข็งชนิดอื่นจึงขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะของงานที่คุณวางแผนไว้
หากคุณกำลังมองหาไม้ สินค้าไม้แอชคุณภาพ สำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ งานพื้นไม้ หรือโครงการก่อสร้างระดับมืออาชีพ วิวัฒน์ชัยค้าไม้ (VK Wood) พร้อมเป็นแหล่งวัสดุที่คุณไว้วางใจได้ ด้วยประสบการณ์กว่า 50 ปีในการคัดสรรไม้คุณภาพ พร้อมบริการให้คำปรึกษาและจัดส่งทั่วประเทศ เลือกไม้ดี เลือกเรา เพื่อให้งานของคุณทั้งสวย แข็งแรง และคุ้มค่าในระยะยาว
ref : https://www.thespruce.com/twelve-species-of-ash-trees-3269661