Home » Blog » รีโนเวทบ้าน » รีโนเวทบ้าน อย่างมืออาชีพ ต้องเตรียมพื้นอย่างไรให้ติดตั้งสวยและไม่พังง่าย
ก่อนเริ่ม รีโนเวทบ้าน หลายคนอาจโฟกัสแค่เรื่องวัสดุว่าจะเลือกไม้จริง ลามิเนต หรือ SPC แต่สิ่งที่มักถูกมองข้ามและสำคัญไม่แพ้กันคือ “การเตรียมพื้น” เพราะพื้นเดิมที่ไม่พร้อม ไม่ว่าจะเป็นพื้นปูนแตกร้าว พื้นไม้ผุ หรือพื้นกระเบื้องหลุดล่อน สามารถทำให้พื้นใหม่พังเร็วภายในไม่กี่เดือน บทความนี้จึงรวบรวมขั้นตอนสำคัญในการตรวจเช็ก ปรับระดับ และปูพื้นอย่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณได้พื้นบ้านที่เรียบสวย แข็งแรง และใช้งานได้ยาวนาน
1.ตรวจสอบพื้นเดิมก่อนเริ่มรีโนเวท พื้นปูน พื้นไม้ หรือกระเบื้องเดิม
1.1 พื้นปูน (Concrete Floor)
ก่อนเริ่มรีโนเวท ควรตรวจสอบพื้นปูนอย่างละเอียด เพราะพื้นปูนคือฐานสำคัญของการติดตั้งพื้นใหม่ หากมีรอยร้าว การทรุดตัว หรือพื้นไม่เรียบ อาจทำให้พื้นไม้หรือพื้นลามิเนตบิดงอในภายหลังได้ ควรสังเกตด้วยตาเปล่าและใช้ระดับน้ำหรือไม้ระนาดวัดความเรียบของพื้น หากมีรอยร้าวลึก ควรซ่อมด้วยปูนซ่อมรอยแตกร้าว และหากพบพื้นทรุดควรปรับระดับใหม่ก่อนเริ่มติดตั้ง
1.2 พื้นไม้ (Wooden Floor)
พื้นไม้เดิมมักเจอปัญหาไม้ผุ บวม หรือเสียงดังเอี๊ยดเมื่อเดิน ซึ่งมักเกิดจากความชื้นสะสมใต้พื้น ควรตรวจสอบความแข็งแรงของโครงไม้และตงรับน้ำหนักโดยใช้ค้อนเคาะเบา ๆ ฟังเสียงดู หากได้ยินเสียงกลวงหรือยวบแสดงว่าด้านใต้ผุหรือหลวม ต้องรื้อซ่อมเฉพาะจุดหรือเปลี่ยนใหม่ทั้งแนว เพื่อให้พื้นใหม่มีความมั่นคงและไม่เกิดเสียงในอนาคต
1.3 พื้นกระเบื้อง (Tile Floor)
สำหรับพื้นกระเบื้องเดิม ควรตรวจสอบด้วยการเคาะฟังเสียง หากได้ยินเสียง “กลวง” แสดงว่ากระเบื้องหลุดล่อนจากปูนยาแนวหรือกาวซีเมนต์ ซึ่งหากปูพื้นใหม่ทับลงไปโดยไม่รื้อ อาจทำให้พื้นใหม่เกิดเสียงดังหรือยุบตัวเมื่อใช้งาน ควรรื้อกระเบื้องเฉพาะจุดที่มีปัญหาและปรับระดับพื้นให้เรียบเสมอก่อนปูวัสดุใหม่
2.ปรับระดับพื้นให้เรียบและแน่น ก่อนปูวัสดุใหม่
พื้นไม่เรียบคือหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้พื้นใหม่เกิดปัญหาบิดงอ เสียงดัง หรือแผ่นพื้นหลุดจากร่องล็อกเมื่อใช้งานไปสักระยะ ดังนั้นก่อนติดตั้งวัสดุปูพื้น ควรปรับระดับพื้นให้เรียบเสมอกันทั้งห้อง หากเป็นพื้นปูนควรใช้ ปูนปรับระดับ (Self-leveling) ซึ่งสามารถไหลปรับตัวเองได้ ช่วยให้พื้นเรียบเนียนและแน่นทั่วพื้นที่ ส่วนพื้นไม้หรือพื้นโครง ให้ใช้ ไม้รองพื้นหรือแผ่นไม้อัดรองระดับ ตามแนวที่กำหนดเพื่อให้ได้ระนาบเดียวกันทั้งหมด นอกจากนี้ ควรเผื่อช่องขอบรอบห้องประมาณ 1 เซนติเมตร สำหรับวัสดุที่มีการขยายตัว เช่น พื้นไม้จริงหรือพื้นลามิเนต เพื่อป้องกันการดันตัวเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน ช่วยให้พื้นดูเรียบแนบสนิทและมีอายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้น
3. ใส่ใจเรื่อง “ความชื้น” และเลือกใช้โฟมรองพื้นให้เหมาะสม
ความชื้น” เป็นปัจจัยที่มักถูกมองข้าม แต่ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของพื้นไม้และพื้นลามิเนต เพราะเมื่อพื้นดูดซับความชื้นเข้าไป จะเกิดการบวม โก่งงอ หรือแผ่นหลุดจากร่องคลิกได้ง่าย ก่อนติดตั้งพื้นใหม่จึงควร ตรวจวัดค่าความชื้นของพื้นปูนด้วยเครื่องวัด (Moisture Meter) เพื่อให้มั่นใจว่าความชื้นอยู่ในระดับปลอดภัย (ไม่เกิน 12–15%) หากพบว่าพื้นมีค่าความชื้นสูง ควรปู ฟิล์มกันชื้น (PE Sheet) ทับไว้ก่อนเพื่อป้องกันไอน้ำจากพื้นดินซึมขึ้นมาทำลายวัสดุ
หลังจากนั้นควรเลือก โฟมรองพื้น (Underlay Foam) ให้เหมาะกับวัสดุที่ใช้ปู เช่น
พื้นไม้จริง / พื้นเอ็นจิเนียร์: แนะนำใช้โฟมกันเสียงแบบหนา เพื่อช่วยซับแรงกระแทกและลดเสียงขณะเดิน
พื้นลามิเนต / พื้น SPC: เหมาะกับโฟมชนิด EVA หรือ IXPE ที่มีความหนาแน่นสูง รองรับแรงกดได้ดีและช่วยปรับผิวพื้นเล็กน้อย
4.ติดตั้งพื้นใหม่อย่างมืออาชีพ พร้อมเช็กจุดเสี่ยงหลังปูเสร็จ
เลือกช่างมืออาชีพ: ควรใช้ทีมติดตั้งที่มีประสบการณ์กับวัสดุชนิดนั้นโดยเฉพาะ เช่น ช่างพื้นไม้จริง ช่างลามิเนต หรือช่าง SPC เพื่อให้การปูพื้นได้ระนาบและแน่นสนิท
ตรวจรอยต่อแผ่นพื้น: แผ่นพื้นทุกชิ้นต้องวางชิดแนบกัน ไม่มีช่องว่างหรือรอยต่อหลวม เพราะอาจทำให้พื้นเกิดเสียงดังหรือหลุดจากร่องล็อกในภายหลัง
ทดสอบการเดินบนพื้น: หลังปูพื้นเสร็จแต่ละช่วง ควรลองเดินทดสอบทั่วห้อง หากพบเสียงกลวงหรือพื้นที่ยวบ แสดงว่าพื้นไม่แน่นหรือขาดโฟมรองพื้นบางจุด ต้องแก้ไขทันที
ตรวจระยะขอบรอบห้อง: เว้นระยะห่างระหว่างพื้นกับผนังประมาณ 1 เซนติเมตร เพื่อรองรับการขยายตัวของวัสดุเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน
พักพื้นหลังติดตั้ง: หลังปูเสร็จควรปล่อยพื้นพักไว้ อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมง ก่อนวางเฟอร์นิเจอร์หรือใช้งานหนัก เพื่อให้วัสดุเซ็ตตัวเต็มที่
เก็บงานขอบพื้นให้เรียบร้อย: ใช้ บัวพื้น (Skirting) หรือ ซิลิโคนยาแนว ปิดขอบรอยต่อรอบห้อง เพื่อป้องกันความชื้นซึมเข้าและเพิ่มความสวยงามของงานจบ
นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบว่า ขอบพื้นรอบห้องมีการเว้นระยะตามมาตรฐาน (ประมาณ 1 เซนติเมตร) เพื่อรองรับการขยายตัวของวัสดุเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน หลังปูเสร็จแล้วควรปล่อยพื้นพักไว้ อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมง ก่อนย้ายของหนักหรือเริ่มใช้งาน เพื่อให้กาวหรือระบบคลิกล็อกเซ็ตตัวเต็มที่ สุดท้ายอย่าลืมเก็บงานขอบด้วย บัวพื้นหรือซิลิโคนจบขอบ เพื่อความเรียบร้อยและช่วยป้องกันความชื้นซึมเข้าสู่พื้นในอนาคต ทำให้งานรีโนเวทดูสวยสมบูรณ์แบบระดับมืออาชีพ
การเตรียมพื้นก่อนรีโนเวทไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะพื้นทุกชั้นของบ้านต้องรับน้ำหนักและแรงใช้งานตลอดเวลา หากขั้นตอนนี้ทำอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรก จะช่วยป้องกันปัญหาพื้นบวม เสียงดัง หรือรอยแตกร้าวในอนาคตได้อย่างมาก การเลือกใช้วัสดุปูพื้นคุณภาพควบคู่กับทีมช่างมืออาชีพ เช่น VK Floor ที่ให้บริการครบตั้งแต่การประเมินพื้นเดิม ปรับระดับ และติดตั้งตามมาตรฐาน จึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับเจ้าของบ้านที่อยากได้พื้นสวย ทน และจบงานอย่างไร้กังวล
ref : https://renoquotes.com/
