ดูแลพื้นไม้ให้ถูกวิธี ลดปัญหาสีซีด เพิ่มอายุการใช้งาน
หลาย ๆ คนคงเคยเจอปัญหาพื้นไม้ที่เคยดูสวยงาม เงางาม ตอนติดตั้งใหม่ ๆ ค่อย ๆ ซีดจางลงจนดูหมอง ไม่สดใสเหมือนเดิม ยิ่งใช้งานไปนาน ๆ ก็เริ่มเห็นรอยขีดข่วน ความเงาหายไป และบางครั้งสีของไม้ดูไม่สม่ำเสมอ ทำให้บ้านดูเก่าและขาดเสน่ห์ ปัญหาเหล่านี้อาจดูเหมือนเลี่ยงไม่ได้ แต่หากเรารู้จักวิธีดูแลอย่างถูกต้อง ก็สามารถชะลอการเสื่อมสภาพและรักษาความสวยงามของพื้นไม้ให้ยาวนานขึ้นได้
หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลพื้นไม้ให้คงทน ไม่ซีดจางง่าย และดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจหลักการดูแลที่ถูกต้อง พร้อมเทคนิคที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อให้พื้นไม้ของคุณยังคงสวยงามไปอีกยาวนาน
สาเหตุหลักที่ทำให้พื้นไม้สีซีด
1.แสงแดดและรังสี UV
แสงแดดเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้พื้นไม้สีซีดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากรังสี UV สามารถทำลายเม็ดสีที่อยู่ภายในเนื้อไม้ รวมถึงสารเคลือบผิวไม้ที่ช่วยป้องกันความเสียหายจากสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแสงแดดส่องถึงโดยตรง เช่น หน้าต่างบานใหญ่ ประตูระเบียง หรือพื้นที่ภายในบ้านที่ไม่มีม่านหรือฟิล์มกรองแสง รังสี UV จะค่อย ๆ ทำให้สีของพื้นไม้จางลงแบบไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้บางบริเวณของพื้นไม้ดูซีดกว่าอีกฝั่งที่ไม่ได้รับแสงมากเท่ากัน และหากปล่อยไว้นาน สีของพื้นไม้อาจเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองหรือเทาหม่น ไม่สวยงามเหมือนเดิม นอกจากนี้ แสงแดดที่รุนแรงยังทำให้เนื้อไม้แห้งและสูญเสียความชุ่มชื้น ทำให้เกิดรอยแตกลายเล็ก ๆ ตามพื้นผิว ส่งผลให้สีซีดจางเร็วขึ้น ดังนั้น การป้องกันพื้นไม้จากแสงแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ควรติดม่านกัน UV ใช้พรมคลุมบางจุด และเลือกเคลือบพื้นไม้ด้วยสารที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UV เพื่อลดการซีดจางและยืดอายุการใช้งานของพื้นไม้ให้ยาวนานขึ้น
2.ความชื้นและน้ำ
ความชื้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้พื้นไม้ซีดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอากาศชื้น เช่น ห้องครัว ห้องน้ำ หรือบริเวณที่มีเครื่องปรับอากาศทำงานตลอดเวลา เมื่อพื้นไม้สัมผัสกับความชื้นมากเกินไป อาจทำให้สีของไม้หมองลงและเกิดรอยด่าง การสะสมของความชื้นยังทำให้เนื้อไม้บวมและเสียรูป ส่งผลให้พื้นไม้สูญเสียความเงางามไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ น้ำที่หกลงบนพื้นแล้วไม่ได้รับการเช็ดออกทันที อาจทำให้พื้นไม้ซึมซับน้ำเข้าไป ส่งผลให้สีของไม้จางลงแบบถาวร โดยเฉพาะถ้าเป็นน้ำที่มีสารเคมีปะปนอยู่ เช่น กาแฟ น้ำส้ม หรือน้ำอัดลม ซึ่งอาจทำให้เกิดคราบฝังลึกจนล้างออกได้ยาก เพื่อป้องกันปัญหานี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าชุบน้ำเปียกเช็ดพื้น ควรใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำหมาด ๆ แทน และควรติดตั้งเครื่องลดความชื้นในพื้นที่ที่มีอากาศชื้นสูง เพื่อควบคุมระดับความชื้นไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพื้นไม้
3.การใช้สารเคมีที่ไม่เหมาะสม
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นไม้ผิดประเภท อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พื้นไม้สีซีดลงโดยไม่รู้ตัว น้ำยาทำความสะอาดที่มีสารเคมีรุนแรง เช่น แอมโมเนีย ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือสารฟอกขาว สามารถทำลายชั้นเคลือบป้องกันของพื้นไม้ ทำให้เนื้อไม้สัมผัสกับอากาศโดยตรง ซึ่งเป็นสาเหตุของการซีดจาง นอกจากนี้ การใช้น้ำยาถูพื้นที่มีค่า pH ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดคราบหมอง และลดความเงางามของพื้นไม้ลงอย่างรวดเร็ว บางคนอาจใช้น้ำยาขัดเงาหรือแว็กซ์ที่มีส่วนผสมของซิลิโคนมากเกินไป ซึ่งเมื่อใช้ไปนาน ๆ อาจทำให้เกิดคราบสะสม ทำให้สีของพื้นไม้ดูไม่สดใสเหมือนเดิม ทางที่ดีควรเลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับพื้นไม้ และหลีกเลี่ยงสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูง เพื่อคงความสวยงามของพื้นไม้ให้ยาวนาน
4.การเสียดสีและรอยขีดข่วน
พื้นไม้ที่ถูกใช้งานเป็นประจำโดยไม่มีการป้องกัน อาจเกิดรอยขีดข่วนและการเสียดสีที่ทำให้สีซีดลงเร็วขึ้น การเดินเหยียบพื้นไม้ด้วยรองเท้าพื้นแข็ง หรือการลากเฟอร์นิเจอร์โดยไม่มีแผ่นรอง อาจทำให้สีของพื้นไม้หลุดลอกและหมองลงได้ นอกจากนี้ ฝุ่นละอองและเศษทรายที่สะสมอยู่บนพื้นไม้ สามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนกระดาษทรายที่ค่อย ๆ ขัดผิวไม้ให้ซีดลงโดยไม่รู้ตัว หากมีสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขหรือแมว เล็บของสัตว์เลี้ยงอาจสร้างรอยขีดข่วนบนพื้นไม้ได้เช่นกัน วิธีป้องกันปัญหานี้คือการหมั่นกวาดพื้นเป็นประจำ ใช้พรมในบริเวณที่มีการเดินผ่านบ่อย และติดตั้งแผ่นกันรอยที่ขาเฟอร์นิเจอร์เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนที่อาจเกิดขึ้น
5.การเสื่อมสภาพของสารเคลือบพื้นไม้
พื้นไม้ที่ผ่านการเคลือบเงาด้วยสารต่าง ๆ เช่น แลคเกอร์ หรือโพลียูรีเทน จะมีอายุการใช้งานที่จำกัด เมื่อเวลาผ่านไป ชั้นเคลือบเหล่านี้จะเริ่มเสื่อมสภาพลง ทำให้พื้นไม้สูญเสียความเงางามและดูซีดจาง พื้นที่ที่ถูกใช้งานบ่อย เช่น โถงทางเดิน หรือจุดที่มีการเดินเหยียบมาก ๆ จะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ทำให้สีของพื้นไม้ในจุดนั้นจางลงเร็วกว่าส่วนอื่น ๆ นอกจากนี้ การขาดการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม เช่น การลงน้ำยาเคลือบเงาเป็นระยะ อาจทำให้พื้นไม้สูญเสียชั้นป้องกันและทำให้สีซีดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การป้องกันปัญหานี้คือการหมั่นเคลือบเงาพื้นไม้เป็นระยะ ๆ และหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่อาจกัดกร่อนชั้นเคลือบของไม้
6.อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงบ่อย
ไม้เป็นวัสดุธรรมชาติที่ขยายตัวและหดตัวตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลัน เช่น จากอากาศเย็นของเครื่องปรับอากาศไปสู่อากาศร้อนจากแสงแดด อาจทำให้พื้นไม้เกิดการหดตัวและขยายตัวเป็นระยะ ๆ ทำให้สีของไม้เปลี่ยนไปและอาจซีดลงเรื่อย ๆ นอกจากนี้ การใช้เครื่องทำความร้อนในช่วงฤดูหนาว อาจทำให้อากาศในห้องแห้งเกินไป ส่งผลให้พื้นไม้สูญเสียความชุ่มชื้น และทำให้สีซีดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันปัญหานี้ ควรควบคุมอุณหภูมิภายในห้องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในช่วงที่อากาศแห้ง เพื่อรักษาสภาพของพื้นไม้ให้ดูสดใสและคงทน
วิธีการดูแลพื้นไม้ เพื่อป้องกันสีซีดและยืดอายุการใช้งาน

1.การทำความสะอาดพื้นไม้เป็นประจำ
พื้นไม้ต้องได้รับการทำความสะอาดอย่างเหมาะสมเพื่อลดการสะสมของฝุ่นและสิ่งสกปรกที่อาจทำให้พื้นไม้เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- ปัดกวาดหรือดูดฝุ่นเป็นประจำ – ฝุ่นและเศษทรายที่ตกค้างบนพื้นไม้สามารถทำให้พื้นเป็นรอยขีดข่วนได้ ควรปัดกวาดทุกวันด้วยไม้กวาดขนนุ่ม หรือใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีหัวแปรงสำหรับพื้นไม้โดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงการใช้หัวดูดที่เป็นแปรงแข็ง เพราะอาจทำให้พื้นเป็นรอยได้
- ถูพื้นอย่างถูกวิธี – ไม่ควรใช้ผ้าเปียกน้ำมากเกินไป เพราะความชื้นสามารถซึมเข้าสู่พื้นไม้และทำให้สีซีดลง ควรใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำหมาด ๆ และบิดให้แห้งก่อนเช็ดพื้น หรือใช้น้ำยาทำความสะอาดเฉพาะสำหรับพื้นไม้
- เลือกน้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสม – หลีกเลี่ยงน้ำยาที่มีสารกัดกร่อน เช่น แอมโมเนีย หรือน้ำส้มสายชู เพราะอาจทำลายชั้นเคลือบพื้นไม้ได้ ควรใช้น้ำยาทำความสะอาดพื้นไม้ที่ไม่มีสารเคมีรุนแรง
2.ป้องกันแสงแดดเพื่อชะลอการซีดจาง
แสงแดดเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พื้นไม้ซีดเร็วขึ้น โดยเฉพาะรังสี UV ที่ทำให้สีของไม้จางลงไม่สม่ำเสมอ
- ใช้ม่านกันแดดหรือฟิล์มกรองแสง – หากพื้นที่ในบ้านได้รับแสงแดดโดยตรง ควรติดตั้งม่านทึบแสงหรือม่านโปร่งแสงเพื่อลดความเข้มของแสงแดด หรือใช้ฟิล์มกรองแสงที่ช่วยลดรังสี UV
- จัดวางเฟอร์นิเจอร์หรือพรมคลุมบางจุด – พื้นที่ที่ได้รับแสงแดดมากควรมีพรมหรือเฟอร์นิเจอร์ปิดบังบางส่วน เพื่อช่วยลดการซีดจางที่ไม่เท่ากัน
- เลือกสารเคลือบพื้นไม้ที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UV – น้ำยาเคลือบเงาบางประเภทมีส่วนผสมของสารกัน UV ซึ่งช่วยลดการซีดจางของพื้นไม้ได้ดี
3.ป้องกันความชื้นและน้ำเพื่อรักษาสีไม้
ความชื้นและน้ำเป็นศัตรูสำคัญของพื้นไม้ เพราะสามารถทำให้เนื้อไม้บวม สีซีด และเกิดเชื้อราได้
- ห้ามปล่อยให้น้ำขังบนพื้นไม้ – หากมีน้ำหกลงบนพื้น ควรเช็ดให้แห้งทันที อย่าปล่อยให้น้ำขัง เพราะน้ำสามารถซึมเข้าสู่เนื้อไม้และทำให้สีเปลี่ยนไป
- ใช้พรมกันความชื้นในจุดที่เสี่ยง – บริเวณหน้าประตู ห้องครัว หรือใกล้หน้าต่าง ควรมีพรมป้องกันน้ำเพื่อช่วยลดการซึมของความชื้น
- ควบคุมระดับความชื้นในห้อง – หากอากาศแห้งเกินไป อาจทำให้พื้นไม้หดตัวและแตกร้าวได้ ในขณะที่อากาศชื้นมากเกินไปอาจทำให้พื้นไม้บวม ควรรักษาระดับความชื้นในห้องให้อยู่ที่ 40-60% เพื่อป้องกันการเสียหายของพื้นไม้
4.ป้องกันรอยขีดข่วนและการเสียดสี
พื้นไม้ที่ได้รับแรงเสียดสีมาก ๆ สามารถทำให้สีซีดและหมองลงได้
- ติดแผ่นกันรอยใต้เฟอร์นิเจอร์ – ควรติดแผ่นรองที่ขาโต๊ะ ขาเก้าอี้ และเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นที่มีการเคลื่อนย้ายบ่อย เพื่อลดการเสียดสีที่อาจทำให้พื้นไม้สีซีดลง
- เลี่ยงการเดินด้วยรองเท้าส้นแข็ง – รองเท้าที่มีพื้นแข็ง หรือรองเท้าส้นสูง อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนและทำให้พื้นไม้ดูเก่าเร็วขึ้น
- กวาดและถูพื้นเป็นประจำเพื่อลดฝุ่นและทราย – ฝุ่นและทรายที่ติดรองเท้าสามารถทำหน้าที่เหมือนกระดาษทราย ค่อย ๆ ขัดสีพื้นไม้ให้หมองลง
5.เคลือบเงาและบำรุงพื้นไม้เป็นระยะ
การเคลือบเงาและบำรุงพื้นไม้อย่างเหมาะสมช่วยให้พื้นไม้ดูใหม่และยืดอายุการใช้งาน
- ทาแว็กซ์หรือน้ำยาเคลือบเงาเป็นประจำ – ควรเคลือบเงาพื้นไม้ทุก 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับการใช้งาน เพื่อป้องกันการซีดจางและลดรอยขีดข่วน
- ขัดพื้นและลงน้ำยาเคลือบใหม่เมื่อสีเริ่มซีด – หากพื้นไม้เริ่มซีดมาก สามารถขัดพื้นไม้ออกบางส่วนแล้วเคลือบเงาใหม่ เพื่อคืนความสดใสให้พื้นไม้
- เลือกผลิตภัณฑ์เคลือบเงาที่เหมาะสม – หากเป็นพื้นไม้ธรรมชาติ ควรใช้น้ำมันเคลือบไม้ที่ช่วยให้เนื้อไม้ดูชุ่มชื้นอยู่เสมอ ส่วนพื้นไม้เคลือบแลคเกอร์หรือยูรีเทน ควรเลือกน้ำยาที่ออกแบบมาเฉพาะ
การบำรุงรักษาพื้นไม้แต่ละประเภท
1.พื้นไม้จริง (Solid Wood Flooring)
การบำรุง: เคลือบน้ำมันไม้หรือแว็กซ์ทุก 6-12 เดือน, หลีกเลี่ยงน้ำและความชื้นสูง, ขัดและเคลือบใหม่เมื่อสีซีด
ข้อควรระวัง: ไม่ควรใช้น้ำมากในการทำความสะอาด
2.พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Flooring)
การบำรุง: ใช้น้ำยาเคลือบเงาที่เหมาะกับพื้นเคลือบยูรีเทน, หลีกเลี่ยงการขัดลึกเกินไป
ข้อควรระวัง: ไม่สามารถขัดพื้นหลายครั้งเหมือนไม้จริง
6.หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์ทำความสะอาดที่ทิ้งสารตกค้าง
น้ำยาทำความสะอาดพื้นไม้บางชนิดอาจทิ้งสารตกค้างไว้ ทำให้พื้นไม้ดูหมองลงเมื่อใช้งานไปนาน ๆ ควรอ่านฉลากให้แน่ใจว่าน้ำยาที่ใช้นั้น ไม่มีสารที่ทำให้เกิดคราบหรือทำให้สีซีดลง
7.หมั่นตรวจสอบพื้นไม้และซ่อมแซมทันทีหากมีปัญหา
พื้นไม้ที่เริ่มเสื่อมสภาพควรได้รับการซ่อมแซมทันที หากปล่อยไว้นาน สีของไม้จะซีดลงและอาจต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งแผ่น วิธีการตรวจสอบพื้นไม้ ได้แก่
- ตรวจหารอยขีดข่วนและรอยบุบ – ใช้แว็กซ์เคลือบพื้นไม้หรือน้ำมันบำรุงไม้เพื่อช่วยปกปิดรอย
- สังเกตสีที่เริ่มซีดเป็นจุด ๆ – หากเริ่มเห็นสีไม่สม่ำเสมอ อาจต้องเคลือบเงาหรือขัดพื้นใหม่
- เช็คความชื้น – หากพื้นไม้เริ่มโก่งตัวหรือบวม อาจมีปัญหาความชื้นสะสม
พื้นไม้เป็นมากกว่าพื้นที่สำหรับเดิน แต่ยังเป็นองค์ประกอบที่ช่วยเติมเต็มบรรยากาศของบ้านให้ดูอบอุ่นและหรูหรา การดูแลพื้นไม้ให้ถูกวิธี ไม่เพียงช่วยป้องกันปัญหาสีซีดหรือเสื่อมสภาพ แต่ยังช่วยให้พื้นไม้ดูดีเหมือนใหม่ไปอีกหลายปี
และถ้าคุณกำลังมองหาพื้นไม้คุณภาพสูง ที่ทั้งสวยงาม ทนทาน และดูแลง่าย VK Floor มีตัวเลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น พื้น SPC, พื้นไวนิล, พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ หรือพื้นลามิเนต ที่มาพร้อมเทคโนโลยีเคลือบกันรอยขีดข่วนและป้องกันสีซีดจากแสงแดด ให้บ้านของคุณยังคงสวยงามเหมือนวันแรกที่ติดตั้ง
Contact :
Social Media Link : https://linktr.ee/VkFloor
Google Map : https://maps.app.goo.gl/9SUJ3URFxuuzTVc19
Call : 081-808-8283, 081-831-9291