พื้นไม้คอมพาวด์ เจาะลึกชนิดวีเนียร์ การขัดผิว และการฟินิชที่ควรรู้

พื้นไม้คอมพาวด์ เจาะลึกชนิดวีเนียร์ การขัดผิว และการฟินิชที่ควรรู้

Table of Contents

                     พื้นไม้คอมพาวด์ เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในงานตกแต่งบ้านและโครงการสมัยใหม่ เพราะให้ความรู้สึกและความสวยงามเหมือนไม้แท้ แต่มีเสถียรภาพและทนทานต่อสภาพอากาศได้ดีกว่า จุดสำคัญที่ทำให้พื้นไม้คอมพาวด์มีเอกลักษณ์อยู่ที่ ชนิดของวีเนียร์ไม้ ที่ใช้ปิดผิวด้านบน ขั้นตอนการขัดผิวเตรียมพื้น และ การฟินิช (Finish) ที่เคลือบเพื่อเพิ่มความงามและการปกป้อง การเข้าใจองค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกพื้นไม้ได้เหมาะกับการใช้งานและสไตล์การตกแต่งมากที่สุด

1.พื้นไม้คอมพาวด์ คืออะไร

พื้นไม้คอมพาวด์ คือ พื้นไม้ที่ผลิตจากการประกอบไม้หลายชั้นเข้าด้วยกัน พื้นชนิดนี้จึงตอบโจทย์ทั้งความสวยงามแบบไม้จริง อีกทั้งยังสามารถติดตั้งแบบ Click-lock ทำให้เป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับบ้าน คอนโด และโครงการที่ต้องการบรรยากาศอบอุ่นจากไม้แท้ แต่ต้องการควบคุมงบประมาณและความเสถียรในการใช้งานด้วย

2.ชนิดไม้ที่ทำวีเนียร์ของ พื้นไม้คอมพาวด์

ชนิดไม้ที่ใช้ทำวีเนียร์สำหรับพื้นไม้คอมพาวด์ เช่น ไม้สัก ไม้วอลนัท ไม้แอช

2.1 ไม้แอช (Ash)

ไม้แอช (Ash) เป็นไม้ที่มีเอกลักษณ์เด่นตรงลายเสี้ยนที่ชัดเจน เส้นไม้สามารถเรียงตรงหรือโค้งเป็นคลื่น ทำให้ดูมีมิติและสวยงามตามธรรมชาติ จุดแข็งอีกอย่างคือการรับสีย้อมที่ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะทำสีขาวแบบ White Wash หรือโทนสว่างในสไตล์ Light Oak ก็สามารถดึงลายเสี้ยนออกมาให้โดดเด่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ จึงมักถูกเลือกใช้แทนไม้สักอ่อนในงานตกแต่งที่ต้องการลุคโมเดิร์น เรียบหรู และมีความร่วมสมัย โดยยังคงความแข็งแรงและทนทานที่เหมาะกับการใช้งานจริง ทั้งเฟอร์นิเจอร์และพื้นไม้ภายในบ้าน

ค่าความเหนียว

  • สูง ทนแรงกระแทกและดัดได้ดี
  • เหมาะทำเฟอร์นิเจอร์ที่โชว์เสี้ยน และพื้นบ้านที่รับแรงมาก

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

2.2 ไม้สัก (Teak)

ไม้สัก (Teak) เป็นไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณสมบัติพิเศษจากน้ำมันธรรมชาติในเนื้อไม้ ซึ่งช่วยป้องกันปลวกและเพิ่มความทนทานต่อความชื้นได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้ไม้สักเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการอายุการใช้งานยาวนานและดูแลรักษาง่าย ลวดลายและโทนสีของไม้สักยังให้ความรู้สึกหรูหราและคลาสสิก จึงมักนิยมใช้โดยไม่ต้องย้อมสีเพิ่มเติมมากนัก เพียงเคลือบใสก็สามารถโชว์เสน่ห์ของเนื้อไม้ได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม้สักมีน้ำมันสูง จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในขั้นตอนการติดกาวหรือการเคลือบผิว เพราะน้ำมันอาจทำให้กาวไม่ติดแน่นได้ ช่างไม้จึงมักเช็ดผิวไม้ด้วย Acetone ก่อนการทำงาน เพื่อให้การติดกาวและการเคลือบมีประสิทธิภาพและคงทนมากขึ้น

ค่าความเหนียว

  • ปานกลาง ไม่เหนียวเท่า Ash หรือ Oak
  • แต่ได้เปรียบเรื่องความทนทานต่อสภาพแวดล้อม

2.3 ไม้โอ๊ค (Oak)

ไม้โอ๊ค (Oak) เป็นไม้เนื้อแข็งที่ได้รับความนิยมสูงในการทำพื้นและเฟอร์นิเจอร์ โดยมีเอกลักษณ์ตรงลายเสี้ยนที่ชัดเจน สามารถเป็นเส้นตรงหรือลายภูเขา (Cathedral grain) ทำให้มีเสน่ห์และโดดเด่นในงานตกแต่งภายใน ทั้งยังเป็นไม้ที่รับสีย้อมได้ดี จึงสามารถปรับโทนสีได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโทนอ่อนแบบ White Wash สไตล์สแกนดิเนเวีย หรือโทนเข้มแบบ Fumed / Smoked Oak ที่ให้ความรู้สึกหรูหราและคลาสสิก ไม้โอ๊คมีทั้ง White Oak และ Red Oak โดย White Oak จะทนความชื้นและมีความเสถียรมากกว่า จึงเป็นที่นิยมในงานพื้นและงานที่ต้องการความคงทนต่อสภาพอากาศ ขณะที่ Red Oak แม้จะรับความชื้นได้น้อยกว่า แต่มีลายเด่นและทำสีได้ง่าย จึงถูกนำมาใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งทั่วไป

ค่าความเหนียว

  • ค่อนข้างสูง ไม้โอ๊คมีความเหนียวและยืดหยุ่นดี เหมาะสำหรับงานที่ต้องรับแรงดัดหรือแรงกระแทก

2.4 ไม้วอลนัท

ไม้วอลนัท (Walnut) เป็นหนึ่งในไม้เนื้อแข็งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในงานเฟอร์นิเจอร์หรูและงานตกแต่งภายในระดับพรีเมียม จุดเด่นของไม้วอลนัทคือโทนสีเข้มตั้งแต่น้ำตาลช็อกโกแลตไปจนถึงน้ำตาลดำ พร้อมลวดลายที่มีมิติและความเงางามตามธรรมชาติ (Chatoyance) ที่ให้ความรู้สึกหรูหราและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ไม้วอลนัทมักถูกเลือกใช้โดยไม่จำเป็นต้องย้อมสีเพิ่มเติมมากนัก เพียงเคลือบใสก็สามารถโชว์ความสวยงามของลายไม้ได้อย่างเต็มที่

ค่าความเหนียว

  • ปานกลางถึงค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับเฟอร์นิเจอร์ใช้งานปกติและงานโชว์ลาย

3.คุณสมบัติไม้ที่ “ทำวีเนียร์ดี”

3.1 ลายไม้ชัด/สม่ำเสมอ: ให้ผิวสวยหลังเคลือบ

3.2 เหนียวและยืดหยุ่นพอ: ลดการแตกร้าว/Checking ระหว่างปอก

3.3 เสถียรภาพ: หด-ขยายน้อย

4.เคลือบผิวหน้าอย่างไรได้บ้าง

การเคลือบผิวหน้าของพื้นไม้คอมพาวด์ เช่น แลคเกอร์ ออยล์ และยูวีโค้ท

4.1 Surface finishes (ผิวฟิล์ม)

เช่น พวก Polyurethane (PU), Lacquer, UV-cured ผลลัพธ์คือเคลือบหนาอยู่เหนือไม้ ทนทานแต่ต้องขัดใหม่ทั้งผิวถ้าเกิดรอยลึก

4.2 เคลือบรมควัน (Smoked Finish)

Smoked oak flooring (หรือ ไม้โอ๊ครมควัน) คือพื้นไม้โอ๊คที่ผ่านกระบวนการรมด้วยแอมโมเนีย (ammonia fuming) ภายในห้องปิด เพื่อเปลี่ยนสีและลวดลายของเนื้อไม้ให้เข้มและมีมิติยิ่งขึ้น ถือเป็นเทคนิคดั้งเดิมที่ช่างไม้ยุโรปใช้มายาวนานเพื่อเพิ่มความหรูหราและความทนทานให้กับพื้นไม้

กระบวนการรมควัน (Fuming / Smoking Process)

  • ใช้ สารละลายแอมโมเนีย (Ammonium Hydroxide Solution) วางไว้ในห้องปิดร่วมกับไม้
  • ไอแอมโมเนียทำปฏิกิริยากับ แทนนิน (Tannic Acid) ที่มีอยู่ตามธรรมชาติในไม้โอ๊ค
  • ยิ่งไม้มีแทนนินมาก สีที่ได้จะเข้มและลึกมากขึ้น

คุณสมบัติของรมควัน

  • สีและลวดลายที่หลากหลาย พื้นไม้รมควันมีความโดดเด่นเรื่องสีและลวดลายที่แตกต่างกันในแต่ละแผ่น เนื่องจากการตอบสนองต่อกระบวนการรมควันของไม้แต่ละชิ้นไม่เหมือนกัน บางแผ่นอาจเข้มกว่าหรือมีโทนสีอุ่น ในขณะที่บางแผ่นอาจมีเฉดสีอ่อนกว่าเล็กน้อย ทำให้เมื่อปูรวมกันแล้วเกิดการไล่ระดับสีอย่างเป็นธรรมชาติและดูมีชีวิตชีวา ความหลากหลายนี้ถือเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่พื้นไม้ชนิดอื่นเลียนแบบได้ยาก
  • ความยืดหยุ่นในการออกแบบ พื้นไม้รมควันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างสรรค์ลวดลายการปูที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลายเฮอริ่งโบน (Herringbone), ลายเชฟรอน (Chevron) หรือการจัดเรียงแบบร่วมสมัยอื่น ๆ เฉดสีที่แตกต่างกันในแต่ละแผ่นสามารถนำมาเล่นกับแพทเทิร์นได้อย่างลงตัว ทำให้บ้านหรือพื้นที่ใช้งานดูมีเอกลักษณ์และเพิ่มความหรูหรา

ข้อควรระวัง

  • ในการเลือกใช้พื้นไม้รมควัน คือสีและโทนของไม้แต่ละแผ่นอาจแตกต่างกันมากระหว่างแต่ละแพ็ก ดังนั้นควรใช้ไม้จากอย่างน้อย 3 กล่องขึ้นไปมาปูสลับกัน เพื่อช่วยกระจายเฉดสีให้พื้นดูสวยงามและสมดุล

4.3 เคลือบแลกเกอร์ (Lacquered Finish)

แล็กเกอร์เป็นสารเคลือบไม้สไตล์โมเดิร์นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ จุดเด่นคือแห้งเร็ว ทนทานต่อน้ำ และคงความใสแม้ใช้งานไปนาน อีกทั้งไม่เหลืองเมื่อผ่านเวลา และแทบไม่ต้องดูแลรักษามากนัก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสวยงามและความสะดวกในการดูแล

ในแง่การใช้งาน แล็กเกอร์มีคุณสมบัติคล้ายวานิชหรือยูรีเทน แต่แตกต่างตรงที่มักใช้การพ่นมากกว่าการทาด้วยแปรงหรือผ้า และต่างจากการเคลือบด้วยน้ำมัน เพราะแล็กเกอร์จะสร้างฟิล์มใสเคลือบอยู่บนผิวไม้แทนที่จะซึมลงไปในเนื้อไม้ ความนิยมและการพัฒนาของแล็กเกอร์ทำให้การใช้เชลแล็กค่อย ๆ ลดบทบาทลง และแทบไม่ถูกใช้งานอีกเลยตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา

ข้อดี (Pros)

  • ให้ผิวเคลือบที่แข็งและทนทานมาก
  • ทนต่อน้ำและของเหลวต่าง ๆ ได้ดี
  • ไม่ขุ่นหรือเหลืองตามอายุการใช้งาน (ในแลคเกอร์บางประเภท)
  • ดูแลง่าย ไม่ต้องบำรุงเพิ่มเติมมากนัก

ข้อเสีย (Cons)

  • การทายาก ต้องใช้อุปกรณ์และพื้นที่พ่นเฉพาะ
  • การซ่อมรอยขีดข่วนหรือรอยบุบทำได้ยาก
  • ในช่วงแรกหลังการพ่นจะมีการปล่อยไอสารเคมีที่เป็นพิษ (แต่เมื่อแห้งแล้วจะปลอดภัย)

4.4 เคลือบแบบแปรง (Brushed Finish)

Brushed Finish คือกระบวนการขัดผิวไม้ด้วยแปรงพิเศษ (มักทำจากลวดหรือไนลอนแข็ง) เพื่อขูดเอาเสี้ยนเนื้อไม้อ่อนออกไป เหลือไว้แต่เสี้ยนเนื้อไม้แข็ง ทำให้พื้นผิวไม้มีความนูนต่ำ-สูงตามธรรมชาติ และเผยลวดลายเสี้ยนไม้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวไม้ที่ดูมีมิติ สัมผัสคล้ายธรรมชาติ และให้ความรู้สึกวินเทจหรือรัสติกมากกว่าไม้ที่ผ่านการขัดเรียบแบบทั่วไป ไม้ที่ผ่านกระบวนการ Brushed Finish จะดูอบอุ่น มีเท็กซ์เจอร์ และปกปิดร่องรอยการใช้งานเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ดี จึงเป็นที่นิยมใช้กับพื้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ และงานตกแต่งภายในที่ต้องการความสวยงามแบบดิบเท่และมีเอกลักษณ์

ข้อดี

  • เพิ่มความทนทานให้กับผิวไม้ ป้องกันการเสื่อมสภาพได้ดีขึ้น
  • ทำให้ผิวไม้เรียบเนียนและพร้อมสำหรับการลงสีหรือเคลือบผิวอื่น ๆ
  • ช่วยให้สีหรือน้ำยาเคลือบซึมและยึดเกาะได้ดียิ่งขึ้น
  • ขจัดคราบ ข้อบกพร่อง หรือร่องรอยจากการตัดและการประกอบ
  • ทำให้ชิ้นงานตรงตามมาตรฐานและสเปกที่ต้องการ
  • เพิ่มคุณสมบัติด้านความสวยงาม ให้ไม้ดูเงางามและหรูหราขึ้น

ข้อเสีย

  • หากขัดเงาแรงเกินไปอาจทำให้ไม้เสียรูปหรือบางเกินไป
  • พื้นผิวที่ขัดจนเรียบเงาอาจทำให้สิ่งสกปรกหรือคราบต่าง ๆ ติดแน่นและทำความสะอาดได้ยากขึ้น
  • ไม้บางประเภทเมื่อขัดจนเงามากอาจทำให้การลงสีหรือการเคลือบไม่สม่ำเสมอ
  • หากใช้วัสดุขัดที่ไม่เหมาะสมอาจเกิดรอยแปรงหรือรอยขีดข่วนที่ทำให้ผิวไม้เสียความสวยงามได้

4.5 เคลือบแบบน้ำมัน (oil finishing)

ขั้นตอนหลัก

  • การเตรียมผิวไม้  ขัดผิวให้เรียบ ทำความสะอาด และปล่อยให้แห้งสนิท เพื่อให้น้ำมันซึมได้ดี
  • การทาน้ำมัน  ใช้แปรงหรือผ้าทาน้ำมันเป็นชั้นบาง ๆ ให้ทั่ว รอให้น้ำมันซึม จากนั้นเช็ดส่วนเกินออก และสามารถทาซ้ำได้หลายชั้นเพื่อความทนทาน
  • การขัดเงา  หลังจากชั้นสุดท้ายแห้ง สามารถขัดด้วยผ้านุ่มเพื่อเพิ่มความเงางาม
  • การบำรุงรักษา  ทำความสะอาดเป็นประจำ หลีกเลี่ยงน้ำยาที่มีฤทธิ์กัดกร่อน และควรทาน้ำมันซ้ำตามระยะเวลา เพื่อคงความสวยงามและการปกป้องไม้

ข้อดีของการเคลือบน้ำมัน

  • ช่วยปกป้องไม้จากแดดและความชื้นได้ยาวนาน
  • ขับลายไม้ให้สวยและเป็นธรรมชาติ
  • ไม่เกิดฟิล์มแข็งที่ลอกหรือแตกร้าว แต่ซึมเข้าไปในเนื้อไม้
  • บำรุงรักษาง่าย เพียงทาน้ำมันซ้ำ ไม่ต้องลอกหรือลงใหม่ทั้งหมด

ref : https://storiesflooring.co.uk/blogs/stories/what-are-the-different-finishes-of-engineered-wood-flooring?utm_source=chatgpt.com

5.ขั้นตอนขัดผิวพื้นไม้คอมพาวด์ (Refinishing Steps)

ขั้นตอนขัดผิวพื้นไม้คอมพาวด์เพื่อให้ผิวเรียบเนียนและพร้อมสำหรับการฟินิช
  • เตรียมพื้นที่ (Preparation) ก่อนเริ่มขัดพื้นไม้คอมพาวด์ ควรเคลียร์ห้องให้โล่ง ย้ายเฟอร์นิเจอร์และของใช้ทั้งหมดออก ตรวจสอบสภาพพื้น หากมีตะปูโผล่หรือไม้บางแผ่นหลวมต้องแก้ไขให้เรียบร้อย จากนั้นทำความสะอาดพื้นด้วยการกวาดและเช็ดคราบสกปรกให้หมด เพื่อให้การขัดเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย
  • ขัดหยาบ (Initial Sanding) ขั้นตอนแรกของการขัดคือการใช้กระดาษทรายเบอร์ประมาณ 100–120 หรือในบางกรณีอาจเริ่มจากเบอร์หยาบ 36–40 เพื่อขัดลอกฟิล์มเคลือบเก่า รอยด่าง และรอยขีดข่วนบนผิวออกไป การขัดหยาบนี้เป็นการเตรียมพื้นให้พร้อมสำหรับการเก็บรายละเอียดในขั้นตอนถัดไป
  • ทำความสะอาดหลังขัด (Cleaning After Sanding) เมื่อขัดเสร็จแล้วต้องทำความสะอาดฝุ่นผงทั้งหมดด้วยเครื่องดูดฝุ่น และตามด้วยการเช็ดพื้นด้วยผ้าชุบน้ำหมาด เพื่อให้ผิวไม้สะอาดหมดจด ไม่มีเศษผงติดอยู่ก่อนที่จะลงขั้นตอนอื่น ซึ่งจะช่วยให้การยึดเกาะของสีย้อมหรือสารเคลือบทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • อุดรอยและเก็บผิว (Repair & Filling) หากพื้นไม้มีรอยแตก รอยบุบ หรือช่องว่างเล็ก ๆ ควรใช้ wood filler หรือ grain filler อุดร่องและเก็บรายละเอียดให้ผิวเรียบเสมอกัน การทำขั้นตอนนี้จะช่วยให้ผิวงานออกมาสมบูรณ์และเคลือบได้เนียนตาโดยไม่เห็นรอยตำหนิเดิม
  • การย้อมสี (Staining – Optional) หากต้องการเปลี่ยนโทนสีของพื้น สามารถลงสีย้อมไม้ (Wood Stain) ให้ทั่วพื้นอย่างสม่ำเสมอ โดยต้องเช็ดส่วนเกินออกและปล่อยให้แห้งสนิทก่อนจะเคลือบผิว ขั้นตอนนี้เป็นทางเลือกที่ช่วยปรับโทนห้องให้เข้ากับสไตล์การตกแต่งที่ต้องการ
  • เคลือบผิว (Applying Finish) หลังจากเตรียมผิวเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าสู่การเคลือบผิวซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญ สามารถเลือกชนิดเคลือบที่เหมาะสม เช่น PU, Oil, UV หรือ Varnish แล้วทาบาง ๆ หลายรอบเพื่อให้ได้ชั้นฟิล์มที่แข็งแรงและสวยงาม ระหว่างรอบควรขัดเบา ๆ ด้วยกระดาษทรายละเอียดเพื่อช่วยให้การยึดเกาะดีขึ้นและผิวเรียบเนียน
  • พักให้เคลือบแห้งและเซ็ตตัว (Curing) เมื่อเคลือบเสร็จแล้วควรปล่อยให้พื้นแห้งและเซ็ตตัวอย่างน้อย 24–72 ชั่วโมง ก่อนใช้งานเต็มที่ ระหว่างนี้ควรหลีกเลี่ยงการวางพรมหรือเฟอร์นิเจอร์หนักบนพื้น เพื่อป้องกันการกดทับหรือเกิดรอยในขณะที่ชั้นเคลือบยังไม่แข็งแรงเต็มที่

6. ไม้ชนิดไหนนิยมทำสีวีเนียร์

ไม้ชนิดยอดนิยมที่ใช้ทำวีเนียร์สำหรับพื้นไม้คอมพาวด์ เช่น ไม้สัก ไม้วอลนัท และไม้โอ๊ค

การทำสีวีเนียร์นิยมเลือกไม้ที่มีลายเสี้ยนชัดและรับสีย้อมได้ดี โดยเฉพาะ ไม้แอช (Ash) ซึ่งเป็นไม้ที่ช่างไม้และนักออกแบบนิยมมากที่สุด เนื่องจากลายเสี้ยนตรงหรือเป็นคลื่นดูมีมิติ และสามารถย้อมได้หลากหลายโทนสี ไม่ว่าจะเป็นโทนสว่างแบบ White Wash, โทนธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งโทนเข้มอย่าง Walnut look ก็สามารถทำได้สวย ทำให้แอชกลายเป็นไม้สารพัดประโยชน์ที่ตอบโจทย์ทั้งงานโมเดิร์นและงานคลาสสิก สามารถดูไอเดียแต่งบ้านด้วยโทนสีพื้นไม้คอมพาวด์ได้ในบทความนี้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำสีวีเนียร์

  • Q: ถ้าอยากได้โทนไม้สัก ทำไมไม่ใช้ไม้สักแท้ไปเลย?
  • A: แม้ว่าไม้สักแท้จะสวยและมีคุณสมบัติกันปลวก กันชื้นในตัว แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่มีน้ำมันธรรมชาติสูง ทำให้ติดกาวหรือเคลือบสีบางชนิดได้ยาก อีกทั้งราคาสูงกว่ามาก ดังนั้นทางเลือกที่นิยมคือใช้ไม้แอช (Ash) แล้วทำสี Golden Teak ซึ่งให้บรรยากาศใกล้เคียงไม้สักแท้ แต่ดูโปร่ง สว่าง และคุ้มค่ากว่ามาก
  • Q: ถ้าอยากได้โทนสีเข้ม ทำไมไม่เลือกใช้วอลนัทจริง?
  • A: วอลนัท (Walnut) เป็นไม้หรูที่มีโทนเข้มสวยตามธรรมชาติ แต่ราคาสูงและมีค่าความแข็ง (Janka) ต่ำกว่าไม้โอ๊คหรือแอช ทำให้เกิดรอยบุบได้ง่ายกว่า หลายคนจึงเลือกใช้ไม้โอ๊คหรือไม้แอช แล้วย้อมสี Walnut ซึ่งได้ทั้งลายเสี้ยนที่คมชัด ความทนทานที่มากขึ้น และโทนเข้มที่ใกล้เคียงวอลนัทจริง แต่มีต้นทุนที่ประหยัดกว่ามาก
  • Q: ถ้าอยากได้พื้นโทนขาวสไตล์สแกนดิเนเวีย ใช้ไม้ชนิดไหนดี?
  • A: บางคนอาจคิดว่าใช้ไม้สักหรือไม้เมเปิลแล้วย้อมสีขาวก็เพียงพอ แต่ไม้สักมีโทนออกเหลือง ส่วนเมเปิลมีลายละเอียดมากจนเมื่อทำ White Wash แล้วลายมักจะหายไป ต่างจากไม้แอชที่มีเสี้ยนเด่นและรูพอร์กว้าง เมื่อทำ White Wash จะยังเห็นลายชัดเจน ได้ทั้งความสว่างและคาแรกเตอร์ของไม้ เหมาะที่สุดสำหรับงานตกแต่งสไตล์ Nordic/Scandinavian

            พื้นไม้ไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณก้าวเดิน แต่คือส่วนหนึ่งของบรรยากาศที่สร้างเอกลักษณ์ให้กับบ้านและโครงการของคุณ VK Floor เข้าใจในรายละเอียดเหล่านี้ เราจึงเลือกเฉพาะ สินค้าพื้นไม้คอมพาวด์ คุณภาพสูงที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล มาพร้อมความหลากหลายทั้งลายไม้ สีสัน และการเคลือบผิว เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าทุกก้าวคือความสวยงามที่ยืนยาว คุ้มค่าทุกการลงทุน

Google Map
Line
Line
Google Map