พื้นไม้เอ็นจิเนียร์
โครงสร้าง พื้นไม้เอ็นจิเนียร์
โครงสร้าง 
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์
								 
															Sustainable Wood
Oak Veneer 3mm
Resandable 2-3 times
 
															British Business 
Award
 
															America’s Archaizer A+Award
E1/Low VOC
Good Health
Sustainable Wood
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ของเราผลิตจากไม้ป่าปลูก 100% เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายที่อยู่ของสัตว์ป่า
White Oak Veneer 3mm
ผิวหน้า ไม้ไวท์โอ๊คจริงหนา 3 มม ทนรอยขีดขวนได้มากกว่าไม้โอ๊คปกติ
Resandable 2-3 times
สามารถขัดผิว ทำสีใหม่ได้ 2–3 ครั้ง ยืดอายุการใช้งานยาวนาน
 
															British Business Award
ได้รับการยอมรับจากวงการธุรกิจในสหราชอาณาจักรสำหรับความสำเร็จในด้านการพัฒนาและนวัตกรรมในอุตสาหกรรม
 
															America’s Archaizer A+Award
ได้รับการยกย่องในด้านการออกแบบที่เป็นเลิศและการใช้วัสดุที่ยั่งยืนจากผลงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Cabril)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Grey Ash)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Alabaster)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Aidson)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (vavencia)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Tobacco)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Pinto)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Prado)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Walnut Nature)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Dover)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Trullas)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Milton)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Pamplona)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Salamanca)
- 
	พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi (Pure Ice)
Imondi 
Engineered Wood
Showcase
				ด้วยประสบการณ์งานไม้มากกว่า 50 ปี 
Vk Floor ได้ส่งมอบผลงาน ไปมากกว่า 10,000 ยูนิต
Imondi ยกระดับพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ สู่ระดับสูงสุดทั้ง
– ผิวหน้าไม้โอ๊คจริงหนา 3 มิล
– Multi Layer Core Board หนารวม ถึง 14 มิล
– ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผลิตจากไม้ป่าปลูกที่ได้รับการรับรอง FSC 
– ผ่านมาตรฐานด้านสุขภาพระดับโลก เช่น LEED, E1, และ JAS F4
– ได้รางวัล British British Business Award
– ได้รางวัล America’s Archaizer A+ Award
 
															1. พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Floor) คืออะไร
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ คือพื้นไม้แท้ที่มีโครงสร้างแบบ “หลายชั้น” เพื่อให้ได้คุณสมบัติที่ดีกว่าไม้จริงชิ้นเดียว ชั้นบนสุด (veneer) จะเป็นไม้จริงที่มองเห็นได้ เช่น Oak, Walnut หรือ Teak ส่วนชั้นใต้ (core / substrate) จะประกอบด้วยวัสดุไม้ประกอบ เช่น plywood, multiple plies หรือแผ่น cross-ply หรือ HDF / ไม้ประกอบ (ขึ้นกับรุ่น) การวางชั้นไม้สลับแนวเสี้ยนช่วยให้พื้นเอ็นจิเนียร์มีความเสถียรมากกว่าไม้แท้เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้น หรือการหด/ขยายตัวของไม้ ข้อมูลทั่วไปว่า engineered hardwood สามารถ “ลดการบิดงอ / การโก่ง” ได้ดีกว่าไม้แท้ในหลายกรณี
2.จุดเด่นของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ / ดีกว่าพื้นไม้จริงอย่างไร
พื้นเอ็นจิเนียร์มีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับไม้แท้:
- ความเสถียร: โครงสร้างหลายชั้นลดการหด-ขยายตัวของไม้ ทำให้โอกาสเกิดรอยแตก โก่งงอ หรือช่องว่างน้อยลง 
- ติดตั้งง่าย: ใช้ระบบลอยตัว (floating), click-lock หรือวิธีติดตั้งแบบ glue-down ได้หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องตอกตะปูตลอดพื้นเหมือนไม้จริง 
- ราคาคุ้มค่า / ใช้วัสดุไม้จริงน้อยลง: ใช้ไม้แท้น้อยกว่าการทำไม้ทั้งแผ่น จึงลดต้นทุนและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 
- บำรุงรักษาง่าย: พื้นผิวชั้นบนมักเคลือบมาตรฐาน ป้องกันรอยขีดข่วนและซีดจาง ทำความสะอาดได้ง่าย 
- ความหลากหลายของลาย / สี / ความหนา: มีให้เลือกหลากหลาย เหมาะกับการออกแบบภายในหลายสไตล์ 
*อ่านบทความ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ VS พื้นไม้จริง ได้ที่นี่
3. ข้อดีของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ แบรนด์ Imondi
- FSC® & Chain of Custody — Imondi มีการรับรองโซ่ความรับผิดชอบ (Chain of Custody) ที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ในระบบ FSC ซึ่งยืนยันว่าไม้ที่ใช้มาจากแหล่งปลูกที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน 
- LEED-compliant / มาตรฐานสิ่งแวดล้อม — ผลิตภัณฑ์ Imondi เข้ากับข้อกำหนด LEED / มาตรฐานอาคารเขียว ช่วยให้โครงการที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งของคะแนนสีเขียว 
- โครงสร้าง stabilized engineered — ใช้วิธีการวางชั้นไม้ให้เสถียร (cross-directional core) เพื่อลดการเคลื่อนตัวของไม้และเพิ่มความมั่นคงของพื้น 
- ใช้วัตถุดิบ reclaimed wood / wood from reclaimed sources — Imondi เน้นใช้ไม้จากแหล่ง reclaimed หรือตัดทอนตามธรรมชาติ รักษาสิ่งแวดล้อมและลดขยะไม้ 
- รูปลักษณ์เฉพาะตัว + ความลึกของลายไม้ — ด้วย veneer ชั้นบนที่เป็นไม้จริง ผสมกับวัสดุ reclaimed ทำให้พื้น Imondi มีเอกลักษณ์ของลายไม้เก่าในรูปแบบงานดีไซน์ใหม่ 
- ประสบการณ์และความเชื่อถือในแบรนด์ — Imondi เป็นแบรนด์ที่ได้รับการเลือกใช้โดยนักออกแบบและแบรนด์ในหลายประเทศ มีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพไม้ reclaimed และเรื่องภาพลักษณ์เชิงสิ่งแวดล้อม 
4.โครงสร้างของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์
4.1 ชั้นผิวหน้า (Wear Layer / Veneer Layer)
- เป็นชั้นไม้จริง (เช่น Oak, Walnut ฯลฯ) ที่ผู้ใช้งานมองเห็นและเดินสัมผัส 
- ความหนาของ veneer กำหนดโอกาสในการ ขัดซ่อม / รีไฟน์ ได้ เช่น ถ้า veneer หนาประมาณ 2–3 มม. สามารถขัดได้ 1–2 ครั้ง (lpwideplank.com) 
- ถ้าวีเนียร์บางมาก (เช่น < 1 มม.) มักไม่สามารถขัดได้หรือขัดได้เบามากเท่านั้น 
4.2 แกนกลาง (Core Layer / Multiple Plys / Cross-Laminated Layers)
- ชั้นกลางมักประกอบด้วยไม้หลายชั้น (plywood, cross-ply, หรือไม้ประกอบ) โดยวางชั้นไม้ให้เสี้ยนหมุนสลับกัน เพื่อลดการหด-ขยายตัว (storiesflooring.co.uk) 
- โครงสร้างหลายชั้นนี้ช่วยเพิ่ม ความเสถียรมิติ ให้พื้น ไม่โก่งงอหรือเกิดรอยช่องว่างง่าย 
- จำนวนชั้นแกนอาจมีตั้งแต่ 3 ชั้น (3-ply) ไปถึงหลายชั้น (5-ply, 7-ply) ขึ้นกับเกรดผลิตภัณฑ์ (thisoldhouse.com) 
4.3 ชั้นฐาน / ชั้นรองรับกลับ (Backing / Balancing Layer)
- ชั้นล่างสุดซึ่งอยู่ใต้แกนกลาง มีหน้าที่ช่วยให้พื้นไม่บิดงอ ปรับสมดุลแรงภายใน และลดการโก่งเมื่อติดตั้ง 
- มักใช้ไม้บางหรือวัสดุที่เสถียร เพื่อทำหน้าที่เสริมแรงและให้โครงสร้างโดยรวมคงรูป 
- การมี backing ที่ดีสำคัญในการช่วยให้พื้นเอ็นจิเนียร์อยู่ในสภาพที่สมดุลและคงทนต่อการใช้งานระยะยาว 
5. พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ขัดทำสีใหม่ได้ไหม
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์สามารถขัดและทำสีใหม่ได้ เฉพาะรุ่นที่มีความหนาของชั้นไม้จริง (Veneer) ตั้งแต่ 2 มม. ขึ้นไป โดยทั่วไปจะขัดได้ประมาณ 1–3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความหนาและลักษณะผิวเดิม หากเป็นพื้นไม้เอ็นจิเนียร์แบบสำเร็จรูป (Prefinished) จะต้องขัดลอกชั้นเคลือบผิวเดิมออกก่อนทำสีใหม่
สำหรับแบรนด์ระดับพรีเมียม เช่น Imondi มักใช้ไม้จริงหนา 3 มม. ขึ้นไป จึงสามารถขัดและรีเฟรชสีได้จริง ช่วยยืดอายุการใช้งานและเปลี่ยนสไตล์ของบ้านได้ตามต้องการ
6. ไม้ที่นิยมนำมาปิดผิวพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ มีอะไรบ้าง
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีชั้นบนสุดเป็นไม้แท้ (Veneer) ซึ่งเลือกใช้ไม้คุณภาพสูงที่ให้ความงามตามธรรมชาติ โดยไม้ที่ได้รับความนิยมมีดังนี้:
- White Oak (โอ๊คขาว) – สีอ่อน ลายไม้ชัด แข็งแรง นิยมในบ้านสไตล์สแกนดิเนเวียนหรือมินิมอล 
- Walnut (วอลนัท) – โทนเข้ม หรูหรา ลายไม้สวยเป็นธรรมชาติ เหมาะกับงานดีไซน์ระดับพรีเมียม 
- Teak (ไม้สัก) – กันปลวกดีเยี่ยม สีทองน้ำผึ้งคลาสสิก เหมาะกับบ้านเขตร้อน 
- Ash (แอช) – สีอ่อน โทนอบอุ่น ลายชัดเจน ดูร่วมสมัย 
- Maple (เมเปิ้ล) – ผิวเนียน ลายละเอียด สีอ่อน นิยมในตลาดอเมริกา 
- Hickory (ฮิคคอรี) – แข็งแรง ทนทาน ลายเด่นชัด ให้ลุค Rustic 
ไม้แต่ละชนิดมีบุคลิกและโทนสีเฉพาะตัว การเลือกไม้ปิดผิวจึงควรคำนึงถึงทั้งความสวยงาม ความทนทาน และความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ สามารถดูบทความ ชนิดของวีเนียร์ของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ได้ที่
7.พื้นที่การใช้งานของ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Floor) ของ Imondi เป็นพื้นไม้แท้ที่ผ่านการออกแบบและผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้ได้วัสดุปูพื้นที่มีทั้งความสวยงามจากเนื้อไม้ธรรมชาติ และความแข็งแรงทนทานเหมาะกับการใช้งานในหลากหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นงานที่พักอาศัย หรืองานโครงการระดับพรีเมียม
7.1 พื้นที่อยู่อาศัย (บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม)
- ห้องนั่งเล่น, ห้องนอน, ห้องโถง : สร้างบรรยากาศอบอุ่นและหรูหรา 
- คอนโด/อพาร์ทเมนต์ : น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย เหมาะกับอาคารสูง 
- ใช้ร่วมกับเฟอร์นิเจอร์ได้หลายสไตล์ ทั้งโมเดิร์น มินิมอล หรือคลาสสิก 
7.2 โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับ Luxury
- บ้านตัวอย่าง, โครงการบ้านหรู : เพิ่มมูลค่าโครงการด้วยความสวยงามของไม้แท้ 
- โรงแรมและรีสอร์ต : ให้บรรยากาศหรูหราและกลมกลืนกับธรรมชาติ 
- โครงการคอนโด High-End : เป็นจุดขายด้านวัสดุและภาพลักษณ์ที่เหนือกว่า 
7.3 พื้นที่เชิงพาณิชย์ (Commercial Space)
- ร้านกาแฟ, ร้านอาหาร, Co-working Space : ให้บรรยากาศพรีเมียม สะดวกต่อการดูแล 
- โชว์รูม, สำนักงาน : สร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดูน่าเชื่อถือ 
- ร้านค้าแฟล็กชิพสโตร์ (Flagship Store) : ใช้เพื่อเสริมแบรนด์ให้ดูมีระดับ 
7.4 ข้อควรระวังด้านพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม
แม้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi จะทนต่อความชื้นและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ดีกว่าไม้จริง แต่ก็ไม่เหมาะกับพื้นที่ที่มี ความชื้นสูงตลอดเวลา เช่น
- ห้องน้ำ 
- ห้องครัวที่มีการสาดน้ำบ่อย 
- พื้นที่ภายนอกอาคารที่โดนแดดและฝนโดยตรง 
*อ่านบทความ พื้นที่การใช้งานของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ คลิกเลย
8.ข้อควรระวัง / ข้อเสียของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์
- ไม่กันน้ำเต็มที่: แม้พื้นเอ็นจิเนียร์จะทนความชื้นได้ดีกว่าไม้แท้ แต่หากโดนน้ำขังหรือความชื้นสะสมเป็นเวลานาน อาจทำให้ veneer หรือชั้นเชื่อมแยกชั้นและเสียรูปได้ 
- รีไฟน์ / ขัดสีซ้ำได้จำกัด: ขึ้นอยู่กับความหนาของชั้น veneer — ถ้าวีเนียร์บางเกินไป จะไม่สามารถขัดซ้ำหลายครั้งได้เท่าไม้แท้ 
- รอยขีดข่วน / รอยบุบเกิดได้ง่าย: แม้เคลือบผิวให้แข็ง แต่ไม้จริงยังมีความอ่อนไหวต่อการเกิดรอยขีดข่วนจากของแหลม หรือแรงกดเฉพาะจุด 
- สีซีด / เปลี่ยนสีได้: การถูกแสงแดดจัดเป็นเวลานานอาจทำให้สี veneer ซีดลง ไม่เท่ากันในบางจุด 
- เสียงกลวง / รู้สึกไม่นุ่มเท้า: เมื่อทำเป็นระบบลอยตัว (floating) อาจมีเสียง “ก้อง” หรือความรู้สึกว่าพื้นแข็งกว่าปกติ 
- ราคาค่อนข้างสูง: เมื่อเทียบกับพื้นวัสดุสังเคราะห์ เช่น ไวนิล หรือ SPC ในหลายรุ่น พื้นเอ็นจิเนียร์มีต้นทุนสูงกว่าและการติดตั้งอาจซับซ้อนกว่า 
- ปล่อยสาร VOC / กาวในชั้นใน: ถ้าผลิตโดยใช้วัสดุคุณภาพต่ำ อาจมีการใช้กาว / เคมีที่ปล่อยสารระเหย (VOC) ซึ่งมีผลต่อคุณภาพอากาศภายในอาคาร 
- ยากต่อการซ่อม / เปลี่ยนบางชิ้น: ถ้าแผ่นใดเสียหาย อาจต้องเปลี่ยนทั้งแผ่นหรือทั้งส่วน เพราะการซ่อม veneer ที่เสียหายอาจทำได้ไม่ดี 
- ต้องเตรียมพื้นชั้นล่าง / คอนกรีตให้เรียบ: หากพื้นชั้นล่างไม่เรียบมาก อาจทำให้พื้นเอ็นจิเนียร์โก่ง หรือเกิดความไม่สม่ำเสมอเมื่อใช้งาน 
9.วิธีการดูแลพื้นไม้เอ็นจิเนียร์
มื่อใช้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ สิ่งสำคัญคือการรักษาความสมดุลระหว่าง “ทำความสะอาดอย่างเพียงพอ” กับ “หลีกเลี่ยงความชื้นเกิน” เพื่อป้องกันปัญหาบวม รอยแยก หรือการเสื่อมสภาพของชั้น veneer ขั้นแรกควรกวาดหรือดูดฝุ่น (ใช้หัวแปรงนุ่ม) เป็นประจำทุกวันหรือสัปดาห์ละหลายครั้งเพื่อกำจัดฝุ่นทรายหรือเศษเล็ก ๆ ที่อาจขูดผิว เมื่อพื้นสะอาดแล้ว ให้ใช้ไม้ถูพื้นแบบหมาด (damp mop) ที่บิดน้ำจนแทบแห้งก่อนถู หลีกเลี่ยงการปล่อยให้แผ่นพื้นเปียกชุ่ม หรือใช้น้ำยาทำความสะอาดมากเกินไป เพราะน้ำส่วนเกินอาจแทรกผ่านรอยต่อไปยังชั้นล่างหรือชั้นขอบได้ ส่งผลให้ veneer บวมหรือเกิดการแยกชั้นตามมา
เมื่อเกิดคราบเฉพาะจุด เช่น น้ำหก คราบอาหาร หรือสิ่งสกปรก “ซับให้แห้งทันที” ด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้านุ่ม หลีกเลี่ยงการขัดแรงหรือใช้อุปกรณ์ขัดที่มีผิวแข็ง เพราะอาจทำลายชั้นเคลือบผิวบน veneer ได้ การดูแลรักษาส่วนเสริมก็มีความสำคัญ เช่น ติดแผ่นรอง (felt pads) ใต้ขาเฟอร์นิเจอร์ วางพรมบริเวณทางเข้า และเลี่ยงการลากของหนักตรง ๆ บนพื้น เพราะอาจสร้างรอยขีดข่วนหรือแรงกดจุดเดียวที่ทำให้พื้นเสียหายได้
อีกเรื่องที่มักถูกมองข้ามคือ การควบคุม สภาวะอากาศภายในบ้าน — พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีความไวต่อความชื้นและอุณหภูมิ การรักษาระดับความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) ภายในบ้านให้อยู่ในช่วงเหมาะสม (ประมาณ 35-60 %) จะช่วยลดการหดหรือขยายตัวของไม้ที่อาจเกิดขึ้น และลดปัญหาแผ่นพื้นโก่งงอหรือแยกชั้นได้
สุดท้าย ควรงดใช้เครื่องมือที่ปล่อยไอน้ำร้อน เช่น steam mop หรือเครื่องขัดไอน้ำ เพราะไอน้ำและความร้อนอาจซึมเข้าสู่รอยต่อและทำให้ไม้พองหรือเคลือบหลุดลอกได้
10.วิธีติดตั้ง พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ อย่างมืออาชีพ
การติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและมั่นคง เริ่มต้นจากการเตรียมพื้นชั้นล่างให้เรียบ สะอาด และแห้งสนิท จากนั้นนำแผ่นไม้มา “ปรับสภาพ” (acclimatize) ไว้ในห้องติดตั้งอย่างน้อย 1–2 วัน เพื่อให้ไม้ปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิและความชื้น ภายในบ้าน ในการติดตั้ง แนะนำให้เว้น รอยขยาย (expansion gap) รอบผนังตามข้อกำหนดของผู้ผลิต และเริ่มติดตั้งแถวแรกโดยให้ด้านร่อง (groove) หันเข้าหาผนัง ใช้ระบบล็อก (click / tongue-and-groove) หรือกาว/ตะปู ขึ้นกับรุ่นที่ใช้ (วิธีมาตรฐานมีทั้งแบบลอยตัว, ติดกาว, ติดตะปู) (flooringinc.com)
เมื่อติดตั้งแผ่นไม้แต่ละแถว ให้เชื่อมรอยต่อด้วยการเคาะบล็อก (tapping block) และตรวจสอบแนวให้ตรงอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แถวร่องชนกันหรือเอียง กันกระจายน้ำหนักให้ดี และเมื่อถึงแถวสุดท้าย ให้ตัดแผ่นให้พอดีเหลือรอยขยายตามที่เผื่อไว้ และติดตั้งบัว/ขอบอย่างเรียบร้อย สุดท้าย ให้ตรวจสอบทุกจุดว่าแนบสนิท ไม่มีรอยโค้ง หรือช่องว่าง และควรเว้นเวลา 24 ชั่วโมงก่อนวางเฟอร์นิเจอร์หนักบนพื้นใหม่
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์คือ พื้นไม้ที่ทำจากชั้นไม้จริง (veneer) ติดอยู่บนโครงสร้างหลายชั้น (core) เพื่อให้คงความงดงามของไม้แท้พร้อมความเสถียรมากขึ้น
ให้ความรู้สึกเหมือนไม้จริง พร้อมความเสถียรสูง ติดตั้งได้หลากหลาย และดูแลรักษาง่าย
ไม่ทนน้ำเต็มที่ รีไฟน์ได้จำกัด และอาจเกิดรอยขีดข่วนหรือสีซีดเมื่อโดนแดดจัด
ราคาขึ้นอยู่กับเกรด ความหนา veneer และแบรนด์ — มักสูงกว่าวัสดุสังเคราะห์ทั่วไปแต่ถูกกว่าสมบูรณ์แบบไม้แท้
ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้งาน เพราะบางคนเน้นใช้งาน บางคนเน้นใช้ 1-3ปี — แต่ถ้าต้องการคุณภาพระดับพรีเมียม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม แนะนำแบรนด์ Imondi จาก VK Floor
พื้นเอ็นจิเนียร์ทนชื้นได้ดีกว่าไม้แท้ แต่ไม่ทนน้ำขัง และไม่มีคุณสมบัติป้องกันปลวกเต็มที่หากชั้นในมีไม้ธรรมดา
พื้น SPC เหมาะกับพื้นที่ที่มีความชื้นสูงหรืองบจำกัด เพราะทนน้ำและดูแลรักษาง่ายกว่า
แต่ถ้าคุณให้คุณค่าเรื่อง สัมผัสไม้จริง ความหรูหรา และความรู้สึกอบอุ่น พื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะตอบโจทย์มากกว่า แม้ราคาจะสูงกว่าและดูแลรักษามากขึ้นก็ตาม
















 
					 
					 
					 
					 
					