พื้นไม้เอ็นจิเนียร์

โครงสร้าง พื้นไม้เอ็นจิเนียร์

โครงสร้าง
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์

โครงสร้างชั้น พื้นไม้เอ็นจิเนียร์
ไอคอนไม้ป่าปลูก

Sustainable Wood

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ปิดผิว ไม้โอ็ค

Oak Veneer 3mm

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ขัดผิวไม้ซ้ำได้

Resandable 2-3 times

British Business Award Icon

British Business
Award

America’s Archaizer A+Award Icon

America’s Archaizer A+Award

พื้นไม้ เกรดE1

E1/Low VOC
Good Health

ไอคอนไม้ป่าปลูก

Sustainable Wood

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ของเราผลิตจากไม้ป่าปลูก 100% เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายที่อยู่ของสัตว์ป่า

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ปิดผิว ไม้โอ็ค

White Oak Veneer 3mm

ผิวหน้า ไม้ไวท์โอ๊คจริงหนา 3 มม ทนรอยขีดขวนได้มากกว่าไม้โอ๊คปกติ

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ขัดผิวไม้ซ้ำได้

Resandable 2-3 times

สามารถขัดผิว ทำสีใหม่ได้ 2–3 ครั้ง ยืดอายุการใช้งานยาวนาน

British Business Award Icon

British Business Award

ได้รับการยอมรับจากวงการธุรกิจในสหราชอาณาจักรสำหรับความสำเร็จในด้านการพัฒนาและนวัตกรรมในอุตสาหกรรม

America’s Archaizer A+Award Icon

America’s Archaizer A+Award

ได้รับการยกย่องในด้านการออกแบบที่เป็นเลิศและการใช้วัสดุที่ยั่งยืนจากผลงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

Imondi
Engineered Wood Showcase

ด้วยประสบการณ์งานไม้มากกว่า 50 ปี
Vk Floor ได้ส่งมอบผลงาน ไปมากกว่า 10,000 ยูนิต

Imondi ยกระดับพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ สู่ระดับสูงสุดทั้ง
– ผิวหน้าไม้โอ๊คจริงหนา 3 มิล
– Multi Layer Core Board หนารวม ถึง 14 มิล
– ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผลิตจากไม้ป่าปลูกที่ได้รับการรับรอง FSC
– ผ่านมาตรฐานด้านสุขภาพระดับโลก เช่น LEED, E1, และ JAS F4
– ได้รางวัล British British Business Award
– ได้รางวัล America’s Archaizer A+ Award

ใบรับรองมาตราฐาน พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi

1. พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Floor) คืออะไร

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ คือพื้นไม้แท้ที่มีโครงสร้างแบบ “หลายชั้น” เพื่อให้ได้คุณสมบัติที่ดีกว่าไม้จริงชิ้นเดียว ชั้นบนสุด (veneer) จะเป็นไม้จริงที่มองเห็นได้ เช่น Oak, Walnut หรือ Teak ส่วนชั้นใต้ (core / substrate) จะประกอบด้วยวัสดุไม้ประกอบ เช่น plywood, multiple plies หรือแผ่น cross-ply หรือ HDF / ไม้ประกอบ (ขึ้นกับรุ่น) การวางชั้นไม้สลับแนวเสี้ยนช่วยให้พื้นเอ็นจิเนียร์มีความเสถียรมากกว่าไม้แท้เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้น หรือการหด/ขยายตัวของไม้ ข้อมูลทั่วไปว่า engineered hardwood สามารถ “ลดการบิดงอ / การโก่ง” ได้ดีกว่าไม้แท้ในหลายกรณี


2.จุดเด่นของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ / ดีกว่าพื้นไม้จริงอย่างไร

พื้นเอ็นจิเนียร์มีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับไม้แท้:

  • ความเสถียร: โครงสร้างหลายชั้นลดการหด-ขยายตัวของไม้ ทำให้โอกาสเกิดรอยแตก โก่งงอ หรือช่องว่างน้อยลง 

  • ติดตั้งง่าย: ใช้ระบบลอยตัว (floating), click-lock หรือวิธีติดตั้งแบบ glue-down ได้หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องตอกตะปูตลอดพื้นเหมือนไม้จริง

  • ราคาคุ้มค่า / ใช้วัสดุไม้จริงน้อยลง: ใช้ไม้แท้น้อยกว่าการทำไม้ทั้งแผ่น จึงลดต้นทุนและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 

  • บำรุงรักษาง่าย: พื้นผิวชั้นบนมักเคลือบมาตรฐาน ป้องกันรอยขีดข่วนและซีดจาง ทำความสะอาดได้ง่าย 

  • ความหลากหลายของลาย / สี / ความหนา: มีให้เลือกหลากหลาย เหมาะกับการออกแบบภายในหลายสไตล์ 

*อ่านบทความ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ VS พื้นไม้จริง ได้ที่นี่

3. ข้อดีของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ แบรนด์ Imondi

  • FSC® & Chain of Custody — Imondi มีการรับรองโซ่ความรับผิดชอบ (Chain of Custody) ที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ในระบบ FSC ซึ่งยืนยันว่าไม้ที่ใช้มาจากแหล่งปลูกที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน 

  • LEED-compliant / มาตรฐานสิ่งแวดล้อม — ผลิตภัณฑ์ Imondi เข้ากับข้อกำหนด LEED / มาตรฐานอาคารเขียว ช่วยให้โครงการที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งของคะแนนสีเขียว

  • โครงสร้าง stabilized engineered — ใช้วิธีการวางชั้นไม้ให้เสถียร (cross-directional core) เพื่อลดการเคลื่อนตัวของไม้และเพิ่มความมั่นคงของพื้น

  • ใช้วัตถุดิบ reclaimed wood / wood from reclaimed sources — Imondi เน้นใช้ไม้จากแหล่ง reclaimed หรือตัดทอนตามธรรมชาติ รักษาสิ่งแวดล้อมและลดขยะไม้ 

  • รูปลักษณ์เฉพาะตัว + ความลึกของลายไม้ — ด้วย veneer ชั้นบนที่เป็นไม้จริง ผสมกับวัสดุ reclaimed ทำให้พื้น Imondi มีเอกลักษณ์ของลายไม้เก่าในรูปแบบงานดีไซน์ใหม่

  • ประสบการณ์และความเชื่อถือในแบรนด์ — Imondi เป็นแบรนด์ที่ได้รับการเลือกใช้โดยนักออกแบบและแบรนด์ในหลายประเทศ มีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพไม้ reclaimed และเรื่องภาพลักษณ์เชิงสิ่งแวดล้อม


4.โครงสร้างของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์

4.1 ชั้นผิวหน้า (Wear Layer / Veneer Layer)

  • เป็นชั้นไม้จริง (เช่น Oak, Walnut ฯลฯ) ที่ผู้ใช้งานมองเห็นและเดินสัมผัส

  • ความหนาของ veneer กำหนดโอกาสในการ ขัดซ่อม / รีไฟน์ ได้ เช่น ถ้า veneer หนาประมาณ 2–3 มม. สามารถขัดได้ 1–2 ครั้ง (lpwideplank.com)

  • ถ้าวีเนียร์บางมาก (เช่น < 1 มม.) มักไม่สามารถขัดได้หรือขัดได้เบามากเท่านั้น

4.2 แกนกลาง (Core Layer / Multiple Plys / Cross-Laminated Layers)

  • ชั้นกลางมักประกอบด้วยไม้หลายชั้น (plywood, cross-ply, หรือไม้ประกอบ) โดยวางชั้นไม้ให้เสี้ยนหมุนสลับกัน เพื่อลดการหด-ขยายตัว (storiesflooring.co.uk)

  • โครงสร้างหลายชั้นนี้ช่วยเพิ่ม ความเสถียรมิติ ให้พื้น ไม่โก่งงอหรือเกิดรอยช่องว่างง่าย

  • จำนวนชั้นแกนอาจมีตั้งแต่ 3 ชั้น (3-ply) ไปถึงหลายชั้น (5-ply, 7-ply) ขึ้นกับเกรดผลิตภัณฑ์ (thisoldhouse.com)

4.3 ชั้นฐาน / ชั้นรองรับกลับ (Backing / Balancing Layer)

  • ชั้นล่างสุดซึ่งอยู่ใต้แกนกลาง มีหน้าที่ช่วยให้พื้นไม่บิดงอ ปรับสมดุลแรงภายใน และลดการโก่งเมื่อติดตั้ง

  • มักใช้ไม้บางหรือวัสดุที่เสถียร เพื่อทำหน้าที่เสริมแรงและให้โครงสร้างโดยรวมคงรูป

  • การมี backing ที่ดีสำคัญในการช่วยให้พื้นเอ็นจิเนียร์อยู่ในสภาพที่สมดุลและคงทนต่อการใช้งานระยะยาว

5. พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ขัดทำสีใหม่ได้ไหม

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์สามารถขัดและทำสีใหม่ได้ เฉพาะรุ่นที่มีความหนาของชั้นไม้จริง (Veneer) ตั้งแต่ 2 มม. ขึ้นไป โดยทั่วไปจะขัดได้ประมาณ 1–3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความหนาและลักษณะผิวเดิม หากเป็นพื้นไม้เอ็นจิเนียร์แบบสำเร็จรูป (Prefinished) จะต้องขัดลอกชั้นเคลือบผิวเดิมออกก่อนทำสีใหม่
สำหรับแบรนด์ระดับพรีเมียม เช่น Imondi มักใช้ไม้จริงหนา 3 มม. ขึ้นไป จึงสามารถขัดและรีเฟรชสีได้จริง ช่วยยืดอายุการใช้งานและเปลี่ยนสไตล์ของบ้านได้ตามต้องการ

6. ไม้ที่นิยมนำมาปิดผิวพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ มีอะไรบ้าง

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีชั้นบนสุดเป็นไม้แท้ (Veneer) ซึ่งเลือกใช้ไม้คุณภาพสูงที่ให้ความงามตามธรรมชาติ โดยไม้ที่ได้รับความนิยมมีดังนี้:

  • White Oak (โอ๊คขาว) – สีอ่อน ลายไม้ชัด แข็งแรง นิยมในบ้านสไตล์สแกนดิเนเวียนหรือมินิมอล

  • Walnut (วอลนัท) – โทนเข้ม หรูหรา ลายไม้สวยเป็นธรรมชาติ เหมาะกับงานดีไซน์ระดับพรีเมียม

  • Teak (ไม้สัก) – กันปลวกดีเยี่ยม สีทองน้ำผึ้งคลาสสิก เหมาะกับบ้านเขตร้อน

  • Ash (แอช) – สีอ่อน โทนอบอุ่น ลายชัดเจน ดูร่วมสมัย

  • Maple (เมเปิ้ล) – ผิวเนียน ลายละเอียด สีอ่อน นิยมในตลาดอเมริกา

  • Hickory (ฮิคคอรี) – แข็งแรง ทนทาน ลายเด่นชัด ให้ลุค Rustic

ไม้แต่ละชนิดมีบุคลิกและโทนสีเฉพาะตัว การเลือกไม้ปิดผิวจึงควรคำนึงถึงทั้งความสวยงาม ความทนทาน และความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ สามารถดูบทความ ชนิดของวีเนียร์ของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ได้ที่

 

7.พื้นที่การใช้งานของ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Floor) ของ Imondi เป็นพื้นไม้แท้ที่ผ่านการออกแบบและผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้ได้วัสดุปูพื้นที่มีทั้งความสวยงามจากเนื้อไม้ธรรมชาติ และความแข็งแรงทนทานเหมาะกับการใช้งานในหลากหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นงานที่พักอาศัย หรืองานโครงการระดับพรีเมียม


7.1 พื้นที่อยู่อาศัย (บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม)

  • ห้องนั่งเล่น, ห้องนอน, ห้องโถง : สร้างบรรยากาศอบอุ่นและหรูหรา

  • คอนโด/อพาร์ทเมนต์ : น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย เหมาะกับอาคารสูง

  • ใช้ร่วมกับเฟอร์นิเจอร์ได้หลายสไตล์ ทั้งโมเดิร์น มินิมอล หรือคลาสสิก


7.2 โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับ Luxury

  • บ้านตัวอย่าง, โครงการบ้านหรู : เพิ่มมูลค่าโครงการด้วยความสวยงามของไม้แท้

  • โรงแรมและรีสอร์ต : ให้บรรยากาศหรูหราและกลมกลืนกับธรรมชาติ

  • โครงการคอนโด High-End : เป็นจุดขายด้านวัสดุและภาพลักษณ์ที่เหนือกว่า


7.3 พื้นที่เชิงพาณิชย์ (Commercial Space)

  • ร้านกาแฟ, ร้านอาหาร, Co-working Space : ให้บรรยากาศพรีเมียม สะดวกต่อการดูแล

  • โชว์รูม, สำนักงาน : สร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดูน่าเชื่อถือ

  • ร้านค้าแฟล็กชิพสโตร์ (Flagship Store) : ใช้เพื่อเสริมแบรนด์ให้ดูมีระดับ


7.4 ข้อควรระวังด้านพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม

แม้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ Imondi จะทนต่อความชื้นและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ดีกว่าไม้จริง แต่ก็ไม่เหมาะกับพื้นที่ที่มี ความชื้นสูงตลอดเวลา เช่น

  • ห้องน้ำ

  • ห้องครัวที่มีการสาดน้ำบ่อย

  • พื้นที่ภายนอกอาคารที่โดนแดดและฝนโดยตรง

*อ่านบทความ พื้นที่การใช้งานของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ คลิกเลย

 

8.ข้อควรระวัง / ข้อเสียของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์

  • ไม่กันน้ำเต็มที่: แม้พื้นเอ็นจิเนียร์จะทนความชื้นได้ดีกว่าไม้แท้ แต่หากโดนน้ำขังหรือความชื้นสะสมเป็นเวลานาน อาจทำให้ veneer หรือชั้นเชื่อมแยกชั้นและเสียรูปได้ 

  • รีไฟน์ / ขัดสีซ้ำได้จำกัด: ขึ้นอยู่กับความหนาของชั้น veneer — ถ้าวีเนียร์บางเกินไป จะไม่สามารถขัดซ้ำหลายครั้งได้เท่าไม้แท้

  • รอยขีดข่วน / รอยบุบเกิดได้ง่าย: แม้เคลือบผิวให้แข็ง แต่ไม้จริงยังมีความอ่อนไหวต่อการเกิดรอยขีดข่วนจากของแหลม หรือแรงกดเฉพาะจุด

  • สีซีด / เปลี่ยนสีได้: การถูกแสงแดดจัดเป็นเวลานานอาจทำให้สี veneer ซีดลง ไม่เท่ากันในบางจุด 

  • เสียงกลวง / รู้สึกไม่นุ่มเท้า: เมื่อทำเป็นระบบลอยตัว (floating) อาจมีเสียง “ก้อง” หรือความรู้สึกว่าพื้นแข็งกว่าปกติ

  • ราคาค่อนข้างสูง: เมื่อเทียบกับพื้นวัสดุสังเคราะห์ เช่น ไวนิล หรือ SPC ในหลายรุ่น พื้นเอ็นจิเนียร์มีต้นทุนสูงกว่าและการติดตั้งอาจซับซ้อนกว่า

  • ปล่อยสาร VOC / กาวในชั้นใน: ถ้าผลิตโดยใช้วัสดุคุณภาพต่ำ อาจมีการใช้กาว / เคมีที่ปล่อยสารระเหย (VOC) ซึ่งมีผลต่อคุณภาพอากาศภายในอาคาร 

  • ยากต่อการซ่อม / เปลี่ยนบางชิ้น: ถ้าแผ่นใดเสียหาย อาจต้องเปลี่ยนทั้งแผ่นหรือทั้งส่วน เพราะการซ่อม veneer ที่เสียหายอาจทำได้ไม่ดี

  • ต้องเตรียมพื้นชั้นล่าง / คอนกรีตให้เรียบ: หากพื้นชั้นล่างไม่เรียบมาก อาจทำให้พื้นเอ็นจิเนียร์โก่ง หรือเกิดความไม่สม่ำเสมอเมื่อใช้งาน

9.วิธีการดูแลพื้นไม้เอ็นจิเนียร์

มื่อใช้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ สิ่งสำคัญคือการรักษาความสมดุลระหว่าง “ทำความสะอาดอย่างเพียงพอ” กับ “หลีกเลี่ยงความชื้นเกิน” เพื่อป้องกันปัญหาบวม รอยแยก หรือการเสื่อมสภาพของชั้น veneer ขั้นแรกควรกวาดหรือดูดฝุ่น (ใช้หัวแปรงนุ่ม) เป็นประจำทุกวันหรือสัปดาห์ละหลายครั้งเพื่อกำจัดฝุ่นทรายหรือเศษเล็ก ๆ ที่อาจขูดผิว เมื่อพื้นสะอาดแล้ว ให้ใช้ไม้ถูพื้นแบบหมาด (damp mop) ที่บิดน้ำจนแทบแห้งก่อนถู หลีกเลี่ยงการปล่อยให้แผ่นพื้นเปียกชุ่ม หรือใช้น้ำยาทำความสะอาดมากเกินไป เพราะน้ำส่วนเกินอาจแทรกผ่านรอยต่อไปยังชั้นล่างหรือชั้นขอบได้ ส่งผลให้ veneer บวมหรือเกิดการแยกชั้นตามมา 

เมื่อเกิดคราบเฉพาะจุด เช่น น้ำหก คราบอาหาร หรือสิ่งสกปรก “ซับให้แห้งทันที” ด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้านุ่ม หลีกเลี่ยงการขัดแรงหรือใช้อุปกรณ์ขัดที่มีผิวแข็ง เพราะอาจทำลายชั้นเคลือบผิวบน veneer ได้  การดูแลรักษาส่วนเสริมก็มีความสำคัญ เช่น ติดแผ่นรอง (felt pads) ใต้ขาเฟอร์นิเจอร์ วางพรมบริเวณทางเข้า และเลี่ยงการลากของหนักตรง ๆ บนพื้น เพราะอาจสร้างรอยขีดข่วนหรือแรงกดจุดเดียวที่ทำให้พื้นเสียหายได้

อีกเรื่องที่มักถูกมองข้ามคือ การควบคุม สภาวะอากาศภายในบ้าน — พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีความไวต่อความชื้นและอุณหภูมิ การรักษาระดับความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) ภายในบ้านให้อยู่ในช่วงเหมาะสม (ประมาณ 35-60 %) จะช่วยลดการหดหรือขยายตัวของไม้ที่อาจเกิดขึ้น และลดปัญหาแผ่นพื้นโก่งงอหรือแยกชั้นได้ 

สุดท้าย ควรงดใช้เครื่องมือที่ปล่อยไอน้ำร้อน เช่น steam mop หรือเครื่องขัดไอน้ำ เพราะไอน้ำและความร้อนอาจซึมเข้าสู่รอยต่อและทำให้ไม้พองหรือเคลือบหลุดลอกได้

 

10.วิธีติดตั้ง พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ อย่างมืออาชีพ

การติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและมั่นคง เริ่มต้นจากการเตรียมพื้นชั้นล่างให้เรียบ สะอาด และแห้งสนิท จากนั้นนำแผ่นไม้มา “ปรับสภาพ” (acclimatize) ไว้ในห้องติดตั้งอย่างน้อย 1–2 วัน เพื่อให้ไม้ปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิและความชื้น ภายในบ้าน ในการติดตั้ง แนะนำให้เว้น รอยขยาย (expansion gap) รอบผนังตามข้อกำหนดของผู้ผลิต และเริ่มติดตั้งแถวแรกโดยให้ด้านร่อง (groove) หันเข้าหาผนัง ใช้ระบบล็อก (click / tongue-and-groove) หรือกาว/ตะปู ขึ้นกับรุ่นที่ใช้ (วิธีมาตรฐานมีทั้งแบบลอยตัว, ติดกาว, ติดตะปู) (flooringinc.com)

เมื่อติดตั้งแผ่นไม้แต่ละแถว ให้เชื่อมรอยต่อด้วยการเคาะบล็อก (tapping block) และตรวจสอบแนวให้ตรงอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แถวร่องชนกันหรือเอียง กันกระจายน้ำหนักให้ดี และเมื่อถึงแถวสุดท้าย ให้ตัดแผ่นให้พอดีเหลือรอยขยายตามที่เผื่อไว้ และติดตั้งบัว/ขอบอย่างเรียบร้อย สุดท้าย ให้ตรวจสอบทุกจุดว่าแนบสนิท ไม่มีรอยโค้ง หรือช่องว่าง และควรเว้นเวลา 24 ชั่วโมงก่อนวางเฟอร์นิเจอร์หนักบนพื้นใหม่

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์คืออะไร?

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์คือ พื้นไม้ที่ทำจากชั้นไม้จริง (veneer) ติดอยู่บนโครงสร้างหลายชั้น (core) เพื่อให้คงความงดงามของไม้แท้พร้อมความเสถียรมากขึ้น

ข้อดีของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์คืออะไร?

ให้ความรู้สึกเหมือนไม้จริง พร้อมความเสถียรสูง ติดตั้งได้หลากหลาย และดูแลรักษาง่าย

ข้อเสียของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์คืออะไร?

ไม่ทนน้ำเต็มที่ รีไฟน์ได้จำกัด และอาจเกิดรอยขีดข่วนหรือสีซีดเมื่อโดนแดดจัด

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ราคาเท่าไหร่?

ราคาขึ้นอยู่กับเกรด ความหนา veneer และแบรนด์ — มักสูงกว่าวัสดุสังเคราะห์ทั่วไปแต่ถูกกว่าสมบูรณ์แบบไม้แท้

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ยี่ห้อไหนดี?

ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้งาน เพราะบางคนเน้นใช้งาน บางคนเน้นใช้ 1-3ปี — แต่ถ้าต้องการคุณภาพระดับพรีเมียม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม แนะนำแบรนด์ Imondi จาก VK Floor

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ทนน้ำ ทนปลวกไหม?

พื้นเอ็นจิเนียร์ทนชื้นได้ดีกว่าไม้แท้ แต่ไม่ทนน้ำขัง และไม่มีคุณสมบัติป้องกันปลวกเต็มที่หากชั้นในมีไม้ธรรมดา

เปรียบเทียบพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ กับ พื้น SPC อันไหนดีกว่ากัน?

พื้น SPC เหมาะกับพื้นที่ที่มีความชื้นสูงหรืองบจำกัด เพราะทนน้ำและดูแลรักษาง่ายกว่า
แต่ถ้าคุณให้คุณค่าเรื่อง สัมผัสไม้จริง ความหรูหรา และความรู้สึกอบอุ่น พื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะตอบโจทย์มากกว่า แม้ราคาจะสูงกว่าและดูแลรักษามากขึ้นก็ตาม

Google Map
Line
Line
Google Map