Home » Wood Flooring » Laminate Flooring » พื้นลามิเนต มีที่มาอย่างไร? เจาะลึกประวัติ ไทม์ไลน์ โครงสร้าง และคุณสมบัติที่คุณควรรู้ก่อนเลือกใช้งาน
พื้นลามิเนต มีที่มาอย่างไร? เจาะลึกประวัติ ไทม์ไลน์ โครงสร้าง และคุณสมบัติที่คุณควรรู้ก่อนเลือกใช้งาน
หากคุณกำลังมองหาวัสดุปูพื้นที่ให้ความรู้สึกเหมือนไม้จริง แต่ราคาเข้าถึงง่าย ติดตั้งเร็ว และดูแลไม่ยาก “พื้นลามิเนต” คือคำตอบยอดฮิตที่หลายคนเลือกใช้ในบ้าน คอนโด และออฟฟิศ แต่คุณเคยสงสัยไหมว่า พื้นลามิเนต มีที่มาอย่างไร? ทำไมถึงกลายเป็นวัสดุปูพื้นยอดนิยมในยุคปัจจุบัน?
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับประวัติความเป็นมาของ พื้นลามิเนต ไล่เรียงไทม์ไลน์การพัฒนา ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นในยุโรปจนกลายเป็นวัสดุทันสมัย ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกใช้งานจริง ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของบ้าน นักออกแบบ หรือผู้รับเหมา บทความนี้มีคำตอบครบ!
1.พื้นลามิเนต คืออะไร
พื้นลามิเนต (Laminate Flooring) คือวัสดุปูพื้นที่ผลิตจากกระบวนการอัดชั้นวัสดุต่าง ๆ เข้าด้วยกันภายใต้แรงดันและความร้อนสูง โดยมีแกนกลาง (Core Layer) ทำจากไม้บดหรือเส้นใยไม้อัดความหนาแน่นสูง (HDF) เคลือบด้านบนด้วยชั้นภาพพิมพ์ลวดลายไม้ หิน หรือกระเบื้อง และทับอีกชั้นด้วยสารเคลือบเรซิ่นชนิดพิเศษ เช่น เมลามีน หรืออะลูมิเนียมออกไซด์ เพื่อเพิ่มความทนทานต่อรอยขีดข่วนและการใช้งานหนัก จึงเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการวัสดุปูพื้นที่สวยงาม อ่านบทความ พื้นลามิเนตคืออะไร เพิ่มเติมได้ที่นี่
2.ประวัติความเป็นมาของ พื้นลามิเนต

- ปี 1977 ปีนี้เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์พื้นลามิเนต เมื่อมีการผลิตพื้นลามิเนตแบบแรงอัดสูง (HPL: High Pressure Laminate) ขึ้นเป็นครั้งแรกโดยบริษัท Perstorp ในประเทศสวีเดน พื้นชนิดนี้ผลิตจากการนำเศษไม้หรือเส้นใยไม้มาบดอัดรวมกันเป็นแผ่นบาง ๆ แล้วเคลือบด้วยเมลามีนเรซิ่น ก่อนจะถูกบีบอัดด้วยแรงดันสูงและความร้อน ทำให้ได้แผ่นไม้ที่แข็งแรง ทนทาน และมีอายุการใช้งานยาวนาน เป็นพื้นลามิเนตที่ปฏิวัติวงการปูพื้นแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง ถือเป็นต้นแบบของพื้นลามิเนตยุคต่อมา
- ช่วงปี 1980 – 1988 ในช่วงนี้ พื้นลามิเนตเริ่มเข้าสู่ตลาดอย่างจริงจังและได้รับความนิยมมากขึ้น โดยถูกมองว่าเป็น “ทางเลือกใหม่” สำหรับการปูพื้นทั้งในบ้านและเชิงพาณิชย์ ความง่ายในการติดตั้ง ความทนทาน และราคาที่ย่อมเยาทำให้พื้นลามิเนตเริ่มเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในยุโรป ทั้งยังเริ่มมีการพัฒนาลวดลายและผิวสัมผัสที่หลากหลายมากขึ้นจากรูปแบบเรียบพื้นฐานในยุคเริ่มต้น โดยในปี 1985 บริษัท Pergo ได้สร้างโรงงานผลิตพื้นลามิเนตแห่งแรก และในปี 1988 ได้ยื่นจดสิทธิบัตรเกี่ยวกับเทคโนโลยีพื้นลามิเนต ซึ่งช่วยยืนยันบทบาทของ Pergo ในฐานะผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมนี้
- ปี 1989 ปีนี้เป็นอีกก้าวสำคัญในเทคโนโลยีของพื้นลามิเนต โดยมีการพัฒนาพื้นลามิเนตแบบใหม่ที่เรียกว่า DPL (Direct Pressure Laminate) ซึ่งแตกต่างจาก HPL ตรงที่กระบวนการอัดชั้นต่าง ๆ จะเกิดขึ้นในขั้นตอนเดียว ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง แต่ยังคงความแข็งแรง และทนทานเหมือนเดิม DPL จึงเป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้พื้นลามิเนตเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปมากขึ้น และกลายเป็นมาตรฐานการผลิตหลักในอุตสาหกรรมลามิเนตนับแต่นั้น
- ช่วงปี 1990 – 1996 ในช่วงต้นทศวรรษ 90s พื้นลามิเนตเริ่มมีการเพิ่มดีไซน์ใหม่ ๆ เช่น ลวดลายหิน กระเบื้อง หรือพื้นผิวแบบธรรมชาติที่สมจริงมากขึ้น พร้อมกันนี้ เทคโนโลยีระบบล็อกแบบคลิกอิน (Click-in Locking System) ก็ถูกนำมาใช้ในช่วงกลางยุค 90s ทำให้การติดตั้งสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น เพราะไม่ต้องใช้กาวหรือตะปูในการติดตั้ง จึงเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีทักษะงานช่าง และทำให้พื้นลามิเนตเริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
- ปี 2000 เทคโนโลยีใหม่ที่ถูกพัฒนาในปีนี้คือ Sound Reduction Technology หรือเทคโนโลยีลดเสียงรบกวน ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพการใช้งานภายในบ้าน โดยเฉพาะในอาคารที่มีหลายชั้น เช่น คอนโดหรือสำนักงาน โดยจะเพิ่มชั้นวัสดุรองพื้นหรือเสริมด้านล่างของแผ่นพื้นให้ดูดซับเสียงมากขึ้น ลดเสียงสะท้อนหรือเสียงฝีเท้าจากการเดินบนพื้นไม้ลามิเนต เพิ่มความสบายและความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย
- ช่วงปี 2001 – 2005 ช่วงนี้เป็นช่วงของการยกระดับความสวยงามและคุณภาพของพื้นลามิเนตอย่างชัดเจน โดยมีการพัฒนาเรื่อง รูปลักษณ์ (look) และ ผิวสัมผัส (feel) ให้สมจริงยิ่งขึ้น เช่น การเพิ่มลวดลายไม้ธรรมชาติ การทำพื้นผิวแบบขรุขระลายไม้จริง หรือการใช้ลายกระเบื้อง พร้อมทั้งเพิ่มการปกป้องพื้นผิวด้วยสารเคลือบป้องกันรอยขีดข่วนและคราบสกปรก ซึ่งส่งผลให้พื้นลามิเนตมีอายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้น และดูแลรักษาง่าย
- ช่วงปี 2006 – 2010 ยุคนี้นับเป็นยุคทองของ การตกแต่งเชิงสร้างสรรค์ (Creative Decor) ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีพิมพ์ลายโดยตรง (Direct Printing) เข้ามาใช้ เพื่อให้พื้นลามิเนตมีลวดลายที่คมชัด ลึก และสมจริง นอกจากนี้ยังเริ่มมีการผลิตแผ่นพื้นทั้งแบบหน้าแคบและหน้ากว้าง (Wide & Narrow Planks) ให้เลือกใช้ตามสไตล์การตกแต่ง อีกทั้งพื้นผิวยังถูกพัฒนาให้มีมิติมากขึ้น เช่น ผิวหยาบ ผิวลายลึก (Embossed) หรือผิวลูกฟูก เพื่อให้พื้นสัมผัสเหมือนไม้จริงอย่างแท้จริง
- ช่วงปี 2010 – 2012ในช่วงนี้ การผลิตพื้นลามิเนตได้รับการปรับปรุงให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยใช้กระบวนการผลิตที่ยั่งยืน ลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น การลดปริมาณสารฟอร์มัลดีไฮด์ในแกน HDF หรือใช้ไม้ที่ผ่านการรับรอง FSC (Forest Stewardship Council) อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพในการกันชื้นและทนทานต่อการใช้งานได้มากขึ้น ช่วยให้พื้นลามิเนตกลายเป็นวัสดุปูพื้นที่ทั้งสวย ทน และใส่ใจสิ่งแวดล้อม
- ช่วงปี 2012 – 2015 ช่วงนี้ถือเป็นยุคที่พื้นลามิเนตเข้าสู่ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านเทคโนโลยี โครงสร้าง และรูปลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบ Click-lock ที่แม่นยำและง่ายขึ้น ผิวสัมผัสที่เหมือนไม้จริงมากกว่าเดิม การเคลือบพื้นผิวให้ทนทานต่อรอยและคราบ รวมถึงนวัตกรรมการออกแบบที่เน้นเฉดสีและลวดลายร่วมสมัยที่ตอบโจทย์การตกแต่งบ้านยุคใหม่ ทำให้พื้นลามิเนตไม่ใช่แค่ “ทางเลือกที่ถูกกว่าไม้จริง” แต่กลายเป็นวัสดุปูพื้นที่สมบูรณ์แบบในตัวเอง
- ในปัจจุบัน พื้นลามิเนตได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งในด้านดีไซน์ พื้นผิวสัมผัส ระบบติดตั้ง และคุณสมบัติในการทนความชื้นและรอยขีดข่วน โดยมีผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกหลายรายที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรม หนึ่งในนั้นคือ SWISS KRONO Group ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตวัสดุไม้รายใหญ่ของยุโรปและของโลก บริษัทมีประสบการณ์มากกว่า 50 ปีในฐานะธุรกิจครอบครัวที่มุ่งเน้นคุณภาพสูง คุ้มค่า และดีไซน์ล้ำสมัย ส่งออกสินค้าไปยังกว่า 120 ประเทศทั่วโลก

พื้นลามิเนตจาก Kronoswiss ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ของกลุ่มบริษัท SWISS KRONO Group ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันตามมาตรฐานยุโรป โดยมีชั้นวัสดุที่ประกอบกันอย่างเป็นระบบเพื่อความทนทาน ความงาม และความปลอดภัยในการใช้งานระยะยาว มีโครงสร้างดังนี้:
1. High Resistance Overlay ชั้นเคลือบผิวหน้าคุณภาพสูง
2. Decorative Film ชั้นฟิล์มลวดลายตกแต่ง
3. Core Board – High Density Fiberboard (HDF) ชั้นแกนกลาง HDF ความหนาแน่นสูง (Green Board E1)
4. Stabilising Film ชั้นฟิล์มรองหลังกันความชื้น สนใจพื้นลามิเนต Kronoswiss คลิกที่นี่!
ตารางเทียบคุณสมบัติ
คุณสมบัติ | พื้นลามิเนตทั่วไป | พื้นลามิเนต Kronoswiss |
แหล่งวัตถุดิบไม้ | ไม้มาจากแหล่งทั่วไป ไม่ได้รับการรับรอง (ไม่ได้ระบุแน่ชัด) | ใช้ไม้จากป่าที่ยั่งยืน (FSC, PEFC) 100% |
สารฟอร์มัลดีไฮด์ | มักไม่ระบุระดับการปล่อยสาร | ผ่านมาตรฐาน E1 (ปลอดภัยต่อสุขภาพ) |
ผิวหน้า (Overlay) | เมลามีนทั่วไป อาจไม่ทนรอยขีดข่วนสูง | เคลือบ Aluminium Oxide ทนรอย ทนแดด |
ระดับความทนทาน (AC Rating) | AC2–AC3 เป็นหลัก | AC4–AC5 รองรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ |
ผิวสัมผัสลายไม้ | ลายพิมพ์ไม้จริง | Synced EIR Texture ให้สัมผัสสมจริงเหมือนลูบไม้จริง |
การกันไฟ | มักไม่ได้มาตรฐานระดับยุโรป | Fire Resistant Class Cfl-S1 |
ความสามารถในการรีไซเคิล | ไม่การันตี | 100% Recyclable |
มาตรฐานรับรองสากล | ไม่ครอบคลุม หรือไม่มี | FSC,E1, PEFC, CARB, ISO9001, ISO14001, GreenGuard, FloorScore ฯลฯ |
ปลอดสาร Phthalate | ไม่แน่ชัด | ปลอดภัย 100% (Phthalate-Free) |
*หมายเหตุ : ข้อมูลเปรียบเทียบข้างต้นจัดทำขึ้นเพื่อให้เข้าใจคุณสมบัติของพื้นลามิเนตแต่ละประเภทอย่างชัดเจน มิได้มีเจตนาเปรียบเทียบหรือลดคุณค่าผลิตภัณฑ์ของแบรนด์อื่น แต่อย่างใด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการเลือกใช้งานของแต่ละโครงการ
พื้นลามิเนต VK Floor คือพื้นลามิเนตคุณภาพสูงที่นำเข้าจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยตรงจากผู้ผลิตระดับโลกอย่าง SWISS KRONO Group ที่ได้รับการยอมรับในกว่า 120 ประเทศทั่วโลก โดดเด่นด้วยดีไซน์เสมือนไม้จริง ผิวสัมผัสแบบ Synced EIR Texture ทนทานต่อรอยขีดข่วนระดับ AC4-AC5 อีกทั้งยังปลอดภัยต่อสุขภาพด้วยมาตรฐาน เหมาะสำหรับทั้งบ้านพักอาศัย ร้านค้า คอนโด และโครงการเชิงพาณิชย์ VK Floor พร้อมให้คำปรึกษาและบริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การเลือกแบบจนถึงติดตั้ง ด้วยทีมงานมืออาชีพที่เข้าใจพื้นไม้และความต้องการของคุณอย่างแท้จริง