พื้นไม้ คืออะไร? เจาะลึกประเภท คุณสมบัติ ข้อดี–ข้อเสีย และวิธีเลือกให้เหมาะกับบ้านของคุณ

พื้นไม้ คืออะไร? เจาะลึกประเภท คุณสมบัติ ข้อดี–ข้อเสีย และวิธีเลือกให้เหมาะกับบ้านของคุณ

Table of Contents

            การเลือกวัสดุปูพื้นไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่ยังสะท้อนถึงรสนิยม ความทนทาน และความคุ้มค่าในระยะยาว “ พื้นไม้ ” ถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมที่หลายบ้านและโครงการเลือกใช้ เพราะนอกจากจะให้ความอบอุ่นเป็นธรรมชาติแล้ว ยังมีหลายประเภทให้เลือกตามความเหมาะสม ตั้งแต่ไม้จริงสุดหรู พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ที่คงตัวสูง พื้นไม้คอมพาวด์ที่ตอบโจทย์เรื่องราคา ไปจนถึงลามิเนต ไวนิล และ SPC ที่เน้นความคุ้มค่าและทนทานต่อการใช้งานประจำวัน บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จัก “พื้นไม้” อย่างรอบด้าน ตั้งแต่ประเภท คุณสมบัติ ข้อดี–ข้อเสีย ไปจนถึงวิธีการเลือกที่เหมาะสมกับบ้านและโครงการของคุณ

1.พื้นไม้ คืออะไร?

พื้นไม้ คือวัสดุปูพื้นที่ทำจากไม้หรือวัสดุที่มีส่วนประกอบของไม้ โดยถูกออกแบบมาเพื่อให้ความสวยงาม ความอบอุ่น และความเป็นธรรมชาติภายในบ้านหรืออาคาร พื้นไม้ไม่ได้มีเพียงแค่ไม้จริงที่ตัดจากท่อนไม้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงไม้ที่ผ่านการพัฒนา เช่น พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ พื้นไม้คอมพาวด์ พื้นลามิเนต และพื้นไวนิลลายไม้ ซึ่งแต่ละประเภทถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน ทั้งด้านความทนทานต่อความชื้น ราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงการติดตั้งและการดูแลรักษาที่สะดวกมากขึ้น ดังนั้น “พื้นไม้” จึงไม่ใช่เพียงวัสดุตกแต่งบ้าน แต่ยังสะท้อนถึงรสนิยม ความคุ้มค่า และความเหมาะสมกับการใช้งานในระยะยาวของเจ้าของบ้านอีกด้วย

2.ประเภทของ พื้นไม้ ที่นิยมใช้

2.1 พื้นไม้จริง (Solid Wood)

พื้นไม้จริงเป็นวัสดุปูพื้นที่ทำจากไม้ทั้งแผ่น จึงให้สัมผัสที่หรูหราและเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง จุดเด่นคือความสวยงามที่คงอยู่ได้ยาวนาน สามารถขัดทำสีใหม่ได้หลายครั้ง ทำให้ดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานนับสิบ ๆ ปีหากได้รับการดูแลที่ถูกวิธี จึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความงดงามและคุณค่าของไม้แท้


2.2 พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood)

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์โดดเด่นด้วยโครงสร้างหลายชั้น โดยมีชั้นบนเป็นไม้จริงบาง ๆ ที่ให้ความสวยงามแบบธรรมชาติ แต่ชั้นล่างเป็นแผ่นไม้ประกอบที่จัดเรียงสลับเสี้ยนไม้ ช่วยลดการบิดงอและทำให้พื้นมีความคงตัวสูง จุดแข็งคือทนต่อความชื้นได้ดีกว่าไม้จริง และยังสามารถติดตั้งได้ทั้งในบ้านและคอนโดที่ต้องการความหรูหราแต่ยังคงความทนทานและดูแลง่ายกว่าไม้แท้เต็มแผ่น


2.3 พื้นไม้คอมพาวด์ (Compound Wood)

พื้นไม้คอมพาวด์ผลิตจากไม้บดหรือเศษไม้ผสมกับวัสดุสังเคราะห์และกาวคุณภาพสูง แล้วอัดขึ้นรูปเป็นแผ่น จุดเด่นคือราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าพื้นไม้จริงและพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ อีกทั้งยังมีความคงตัวสูง ไม่หดหรือขยายตัวมากตามสภาพอากาศ ทำให้เหมาะกับงานโครงการบ้านและคอนโดที่ต้องการความสวยงามใกล้เคียงไม้จริง แต่ยังควบคุมงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ


2.4 พื้นลามิเนต (Laminate Flooring)

พื้นลามิเนตใช้แผ่น HDF (High Density Fiberboard) เป็นแกนกลาง และเคลือบผิวด้วยลายไม้พิมพ์ที่สมจริง จุดเด่นคือราคาประหยัดกว่าพื้นไม้ประเภทอื่น ๆ และติดตั้งง่ายด้วยระบบคลิกล็อกที่ไม่ต้องใช้กาว ทำให้เจ้าของบ้านสามารถเปลี่ยนหรือซ่อมแซมบางส่วนได้สะดวก เหมาะสำหรับผู้ที่อยากได้ความสวยงามคล้ายไม้จริงในงบประมาณที่จำกัด

2.5 พื้นไวนิล (Vinyl Flooring)

พื้นไวนิลทำจากวัสดุโพลีเมอร์คุณภาพสูง มีความยืดหยุ่น ให้สัมผัสนุ่มสบายเวลาเดิน จุดเด่นคือกันน้ำ 100% ทนต่อความชื้นได้ดี จึงเหมาะกับพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเปียก เช่น ห้องครัวหรือพื้นที่ซักล้าง นอกจากนี้ยังดูแลรักษาง่าย ทำความสะอาดสะดวก และมีให้เลือกหลายลวดลาย โดยเฉพาะลายไม้ที่สมจริงในราคาย่อมเยา


2.6 พื้น SPC (Stone Plastic Composite Flooring)

พื้น SPC คือการพัฒนาต่อยอดจากพื้นไวนิล โดยมีส่วนผสมของหินปูน (Stone Powder) ทำให้แผ่นมีความแข็งแรงและคงตัวมากขึ้น ไม่ยืดหรือหดตัวตามอุณหภูมิและความชื้น จุดเด่นคือทนทานต่อแรงกดทับและการขีดข่วนได้ดีกว่าไวนิลทั่วไป กันน้ำ 100% เช่นกัน จึงเหมาะกับบ้าน คอนโด และโครงการที่ต้องการพื้นสวยงาม ดูแลรักษาง่าย แต่ยังคงทนทานต่อการใช้งานหนักในระยะยาว

3.ข้อดี–ข้อเสีย ของพื้นไม้

3.1 ข้อดีของพื้นไม้

พื้นไม้ ให้ความสวยงามเป็นธรรมชาติและบรรยากาศอบอุ่นภายในบ้าน เหมาะกับทุกสไตล์การตกแต่ง ทั้งโมเดิร์น คลาสสิก หรือมินิมอล อีกทั้งยังมีหลากหลายประเภทให้เลือก ตั้งแต่ไม้จริงที่หรูหราและคงทน ไปจนถึงพื้นคอมพาวด์ ลามิเนต และไวนิลที่มีราคาย่อมเยาและติดตั้งง่าย นอกจากนี้พื้นไม้ยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบ้านและโครงการได้ เพราะเป็นวัสดุที่ผู้บริโภคมองว่าน่าเชื่อถือและให้ความรู้สึกพรีเมียมกว่าวัสดุปูพื้นประเภทอื่น


3.2 ข้อเสียของพื้นไม้

แม้ว่าพื้นไม้จะมีเสน่ห์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรพิจารณา เช่น ไม้จริงและเอ็นจิเนียร์มีราคาสูง ต้องการการดูแลที่พิถีพิถัน และอาจไม่ทนต่อความชื้นหรือน้ำขัง ส่วนลามิเนตและคอมพาวด์แม้ราคาประหยัด แต่มีอายุการใช้งานสั้นกว่า และไม่สามารถขัดซ่อมเหมือนไม้จริงได้ ขณะที่พื้นไวนิลและ SPC แม้กันน้ำได้ 100% และดูแลรักษาง่าย แต่ความรู้สึกและสัมผัสอาจไม่เป็นธรรมชาติเท่าไม้จริง ดังนั้นการเลือกใช้พื้นไม้ควรพิจารณาตามพื้นที่ใช้งาน งบประมาณ และความสะดวกในการบำรุงรักษา

4.วิธีเลือกพื้นไม้ให้เหมาะกับบ้านและโครงการ

  • กำหนดงบประมาณล่วงหน้า
    เลือกประเภทพื้นไม้ที่ตรงกับงบ เช่น ไม้จริงสำหรับงานหรูหรา หรือพื้นลามิเนต/คอมพาวด์หากต้องการควบคุมต้นทุน

  • พิจารณาพื้นที่ใช้งาน

    • ห้องนั่งเล่น/ห้องนอน  เลือกไม้จริง, เอ็นจิเนียร์ หรือคอมพาวด์ เพื่อความสวยงามและบรรยากาศอบอุ่น

    • ห้องครัว/ห้องน้ำ/พื้นที่ชื้น  เลือกไวนิลหรือ SPC ที่กันน้ำ 100%

  • สไตล์การตกแต่งบ้าน
    เลือกพื้นไม้ที่เข้ากับโทนและสไตล์ เช่น ไม้จริงโทนเข้มสำหรับบ้านคลาสสิก หรือเอ็นจิเนียร์/ลามิเนตโทนอ่อนสำหรับบ้านโมเดิร์น

  • ความทนทานและอายุการใช้งาน
    พื้นไม้จริงและเอ็นจิเนียร์มีอายุการใช้งานยาวนาน ขัดซ่อมได้หลายครั้ง ส่วนไวนิลและ SPC เน้นดูแลง่าย ใช้งานได้ดีในระยะกลางถึงยาว

  • การดูแลรักษา
    หากไม่สะดวกดูแลมาก เลือกไวนิล, SPC หรือคอมพาวด์ที่ทนความชื้นและรอยขีดข่วน แต่ถ้าเน้นความสวยงามและยอมบำรุงรักษาเป็นครั้งคราว ไม้จริงคือคำตอบ

5.การดูแลและบำรุงรักษา พื้นไม้

5.1 การทำความสะอาดประจำวัน

พื้นไม้ ควรได้รับการกวาดหรือดูดฝุ่นเป็นประจำเพื่อป้องกันเศษฝุ่นและกรวดเล็ก ๆ ที่อาจทำให้พื้นเป็นรอยขีดข่วนได้ง่าย การใช้ไม้ถูพื้นแบบหมาด ๆ ก็ช่วยให้พื้นสะอาดโดยไม่ทำให้พื้นไม้เสียความชื้น

5.2 การป้องกันรอยขีดข่วน

ควรติดแผ่นรองกันรอยใต้ขาโต๊ะและเก้าอี้ รวมถึงหลีกเลี่ยงการลากเฟอร์นิเจอร์บนพื้นไม้โดยตรง หากเป็นไปได้ควรใช้พรมปูในบริเวณที่มีการเดินผ่านบ่อย ๆ เพื่อลดการเสียดสี

5.3 การป้องกันความชื้นและน้ำ

น้ำและความชื้นเป็นศัตรูตัวสำคัญของพื้นไม้ โดยเฉพาะไม้จริงและเอ็นจิเนียร์ หากมีการหกน้ำควรรีบเช็ดให้แห้งทันที ควรหลีกเลี่ยงการถูพื้นด้วยน้ำปริมาณมาก และในพื้นที่ที่มีโอกาสเปียกบ่อยควรเลือกใช้พื้น SPC หรือไวนิลแทน

5.4 การดูแลสภาพผิวเคลือบ

พื้นไม้จริงและเอ็นจิเนียร์อาจต้องมีการเคลือบน้ำยาหรือขัดผิวใหม่ทุก ๆ 3–5 ปี เพื่อคงความสวยงามและป้องกันความเสียหาย ส่วนพื้นลามิเนตและ SPC มีชั้นเคลือบกันรอยมาแล้ว เพียงดูแลไม่ให้ถูกสารเคมีรุนแรงก็เพียงพอ

5.5 การควบคุมสภาพแวดล้อม

อุณหภูมิและความชื้นที่คงที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของพื้นไม้ได้มาก การใช้เครื่องปรับอากาศหรือเครื่องลดความชื้นในพื้นที่ที่ชื้นเกินไป จะช่วยป้องกันการบวมตัวหรือหดตัวของไม้ได้เป็นอย่างดี

              เมื่อมองภาพรวมแล้ว พื้นไม้แต่ละประเภทต่างก็มีคุณค่าและจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ไม้จริงให้ความหรูหราและอายุการใช้งานยาวนาน พื้นเอ็นจิเนียร์ตอบโจทย์เรื่องความคงตัวและดูแลง่าย พื้นคอมพาวด์ ลามิเนต รวมถึงไวนิลและ SPC ก็เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาความคุ้มค่าและการใช้งานที่สะดวกสบาย สิ่งสำคัญคือการเลือกให้สอดคล้องกับพื้นที่ งบประมาณ และสไตล์ที่คุณต้องการ

และหากคุณกำลังมองหาพื้นไม้คุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น พื้นไม้จริง, พื้นเอ็นจิเนียร์, พื้นไม้คอมพาวด์ หรือลามิเนต–ไวนิล–SPC แบรนด์ VK Floor พร้อมคัดสรรวัสดุที่ได้มาตรฐานสากล ทั้งด้านความสวยงาม ความทนทาน และความคุ้มค่า เพื่อให้บ้านและโครงการของคุณโดดเด่น ใช้งานได้ยาวนาน และมั่นใจในทุกการลงทุน

Google Map
Line
Line
Google Map