Home » พื้นไม้สำหรับออฟฟิศ » เช็กลิสต์ “พื้นออฟฟิศที่ดี” ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง?
การออกแบบออฟฟิศยุคใหม่ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การจัดโต๊ะหรือเลือกเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์สวย แต่ “พื้น” คือองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อทั้งภาพลักษณ์องค์กร ความรู้สึกของพนักงาน และประสบการณ์ของลูกค้าที่ก้าวเข้าออฟฟิศตั้งแต่แรกเห็น การเลือก พื้นไม้สำหรับออฟฟิศ ที่เหมาะสมจึงกลายเป็นหัวใจของการปรับปรุงพื้นที่ทำงานในปี 2025 เพราะช่วยทำให้ออฟฟิศดูอบอุ่น น่าเชื่อถือ เดินสบายขึ้น และช่วยลดปัญหาเสียงก้องหรือรอยขีดข่วนจากล้อเก้าอี้ได้จริง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักคุณสมบัติของพื้นที่ดีสำหรับออฟฟิศ พร้อมแนวทางเลือกพื้นให้เหมาะกับการใช้งานจริงในทุกโซนขององค์กร
1.ทนรอยจากเก้าอี้ล้อเลื่อน
ในออฟฟิศ พื้นไม่ได้โดนแค่ “เดินเหยียบ” แต่ต้องเจอกับล้อเก้าอี้เลื่อนทั้งวัน ถ้าพื้นผิวอ่อนเกินไปจะเกิดเป็นรอยเส้น ๆ เต็มไปหมด ทำให้ออฟฟิศดูเก่าและโทรมเร็วมาก คุณสมบัติที่ควรมองหาคือพื้นผิวหน้า (Wear Layer) ที่มีความแข็งแรง ทนแรงเสียดสีได้ดี และถ้าเป็นล้อเก้าอี้แบบแข็ง (พลาสติก) ยิ่งต้องเน้นเป็นพิเศษ เพราะเป็นตัวการหลักที่ทำให้พื้นเสียหาย การเลือกพื้นที่ผ่านการทดสอบด้านการทนรอยตามมาตรฐานสากล หรือระบุว่าเหมาะกับงานเชิงพาณิชย์/ออฟฟิศ จะช่วยให้ใช้งานจริงได้ยาวนานกว่าพื้นทั่วไปอย่างชัดเจน
2.กันชื้น–กันน้ำได้ดี โดยเฉพาะโซน Pantry และห้องแม่บ้าน
ออฟฟิศมักมีโซนเปียกแฝงอยู่ เช่น พื้นที่ชงกาแฟ Pantry จุดวางตู้เย็น หรือห้องแม่บ้านที่มีถังน้ำและอุปกรณ์ทำความสะอาด หากพื้นดูดน้ำหรือบวมง่าย เมื่อเกิดน้ำหกทิ้งไว้แป๊บเดียวก็อาจพอง ตัวล็อกเสียรูป หรือเกิดเชื้อราได้ พื้นออฟฟิศที่ดีควรมีคุณสมบัติ “กันชื้น–กันน้ำ” โดยเฉพาะในจุดเสี่ยงเหล่านี้ แม้จะไม่จำเป็นต้องกันน้ำ 100% ในทุกพื้นที่ แต่ควรเลือกประเภทที่ไม่บวมง่ายเมื่อโดนน้ำเป็นครั้งคราว และต้องระบายความชื้นได้ดี เพื่อลดปัญหากลิ่นอับหรือเชื้อราในระยะยาว
3.ลดเสียงก้อง ในพื้นที่ประชุม/เดินเยอะ
เสียงคือสิ่งที่ส่งผลต่อสมาธิและบรรยากาศการทำงานโดยตรง พื้นกระเบื้องหรือพื้นปูนมักทำให้เสียงสะท้อน เดินแล้วดัง ก่อให้เกิดเสียงรบกวนในห้องประชุม โถงทางเดิน หรือพื้นที่ที่คนเดินผ่านทั้งวัน พื้นสำหรับออฟฟิศจึงควรมีคุณสมบัติช่วยซับเสียง ไม่ว่าจะมาจากโครงสร้างเนื้อวัสดุเอง หรือจากแผ่นรอง (Underlay) ที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงอะคูสติกโดยเฉพาะ เมื่อเลือกพื้นได้เหมาะสม ห้องประชุมจะเงียบขึ้น เสียงล้อเก้าอี้ไม่ดังแหลมกวนใจ และโถงทางเดินจะไม่ก้อง ทำให้ภาพรวมออฟฟิศ “นิ่งและเป็นมืออาชีพ” มากขึ้นทันที
4.รับน้ำหนักได้ดี เช่น โต๊ะประชุมขนาดใหญ่ ตู้เอกสารโลหะ
ออฟฟิศมักมีเฟอร์นิเจอร์หนักอย่างโต๊ะประชุมขนาดใหญ่ ตู้เอกสารเหล็ก ชั้นเก็บแฟ้ม หรือเครื่องถ่ายเอกสารตัวใหญ่ พื้นที่ไม่ถูกออกแบบมาให้รองรับน้ำหนักระยะยาวอาจเกิดการแอ่น โก่ง เป็นรอยบุ๋มหรือแผ่นเสียรูปได้ การเลือกพื้นจึงต้องดูทั้ง “ตัวแผ่นพื้น” และ “ระบบพื้นด้านล่าง” เช่น พื้นย่อยต้องเรียบ แข็งแรง ไม่ยุบตัวง่าย และวัสดุปูทับพื้นต้องมีโครงสร้างรองรับน้ำหนักสม่ำเสมอ การเช็กสเปกการรับน้ำหนักจากผู้ผลิตหรือเลือกเกรดที่เหมาะกับงานเชิงพาณิชย์ จะช่วยลดโอกาสปัญหาพื้นทรุดหรือเสียรูปในอนาคต
5.ติดตั้งเร็ว ไม่สะเทือนการทำงาน
สำหรับออฟฟิศ เวลา = ต้นทุน การปิดพื้นที่ทำงานนาน ๆ เพื่อปรับปรุงพื้นไม่ใช่เรื่องเล็ก พื้นที่เหมาะกับงานออฟฟิศยุครีโนเวทควรเป็นระบบที่ติดตั้งรวดเร็ว เช่น ระบบคลิกล็อก หรือระบบที่สามารถปูทับพื้นเดิมได้โดยไม่ต้องสกัดหรือทำงานโครงสร้างเยอะ ลดฝุ่น ลดเสียง และลดเวลาการปิดพื้นที่ หากเป็นไปได้ ควรเลือกโซลูชันที่สามารถแบ่งโซนทำทีละส่วนได้ เพื่อให้องค์กรยังคงทำงานต่อไปได้ระหว่างปรับปรุง ช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณของบริษัท
6.ผิวหน้าไม่ลื่น ปลอดภัยต่อพนักงาน
ความปลอดภัยในที่ทำงานเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะบริเวณทางเดินหลัก โถงลิฟต์ และหน้า Pantry พื้นที่ผิวลื่นมากเกินไปอาจทำให้พนักงานลื่นล้ม เกิดอุบัติเหตุและอาจมีผลด้านกฎหมายตามมา พื้นสำหรับออฟฟิศจึงควรมีค่ากันลื่นที่เหมาะสม ผิวหน้าไม่มันวาวจนเกินไป และหากเป็นพื้นที่ที่อาจโดนน้ำ ควรเลือกผิวสัมผัสที่มี Texture ช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะ การดูสเปกค่ากันลื่น (เช่น ค่า R Rating ในบางระบบ) หรือสอบถามผู้ขายว่าพื้นรุ่นนั้นเหมาะกับพื้นที่สาธารณะ/ออฟฟิศหรือไม่ เป็นอีกขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม
7.ทำความสะอาดง่าย
พื้นออฟฟิศต้องเผชิญทั้งคราบรองเท้า ฝุ่นจากภายนอก คราบกาแฟ หรือเศษอาหารจากโซน Pantry การเลือกพื้นจึงควรมองไปถึง “ระบบการทำความสะอาดในชีวิตจริง” ด้วย ไม่ใช่แค่ตอนใหม่ ๆ พื้นที่ผิวเรียบ ไม่เป็นรูพรุนมากเกินไป และทนต่อสารเคมีทำความสะอาดพื้นทั่วไป จะช่วยให้ทีมแม่บ้านทำงานได้ง่ายขึ้น ใช้เวลาไม่นาน และทำให้พื้นดูสะอาดอยู่เสมอโดยไม่ต้องดูแลยุ่งยาก พื้นบางประเภทที่มีชั้นเคลือบผิวกันคราบหรือกันรอยก็จะช่วยยืดอายุความสวยไปได้อีกหลายปี
8.มีมาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพ
ออฟฟิศเป็นพื้นที่ที่พนักงานอยู่รวมกันตลอดหลายชั่วโมงต่อวัน ดังนั้นพื้นควรปลอดภัยต่อสุขภาพและสภาพแวดล้อมภายในอาคาร (Indoor Air Quality) มากที่สุด พื้นที่ได้มาตรฐานจะต้องมีการปล่อยสารระเหย (VOC) ต่ำ ไม่ใช้สารเคมีอันตราย เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ หรือพลาสติไซเซอร์ที่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจ พื้นบางประเภทมีการรับรองจากมาตรฐานสากล เช่น FloorScore, GREENGUARD, หรือ CE ซึ่งบ่งบอกว่าผ่านการทดสอบด้านคุณภาพอากาศและความปลอดภัยมาแล้ว การเลือกพื้นออฟฟิศที่มีมาตรฐานเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างสบายใจขึ้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากอาการแพ้ กลิ่นสารเคมี และปัญหาสุขภาพในระยะยาว สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและเป็นมิตรต่อทุกคนในองค์กร
การเลือก พื้นไม้สำหรับออฟฟิศ ที่ดี ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความสวยงาม แต่คือการลงทุนใน “คุณภาพชีวิตของพนักงาน” และ “ภาพลักษณ์ของแบรนด์” ที่จะสะท้อนออกไปในระยะยาว หากคุณกำลังมองหาพื้นลายไม้ที่ทนรอย กันน้ำ 100% เดินเงียบ และช่วยให้ออฟฟิศดูทันสมัยขึ้นทันที พื้นไวนิล Allure Vinyl Floor คือคำตอบที่ครบที่สุดสำหรับปี 2025 ด้วยเทคโนโลยี Isocore แข็งแรง เดินนุ่ม ลดเสียงล้อเก้าอี้ และลายไม้ระดับพรีเมียมที่ช่วยยกระดับ Mood & Tone ของสำนักงานทุกสไตล์ ทั้งสวย ใช้งานง่าย และติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว หากต้องการให้ออฟฟิศของคุณเปลี่ยนภาพลักษณ์แบบเห็นผลทันที Allure คือพื้นไม้ลายสวยที่ตอบโจทย์ทั้งดีไซน์และความคุ้มค่าในระยะยาว
