ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พื้นลามิเนต กลับมาเป็นหนึ่งในวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมอีกครั้ง ทั้งในงานบ้านพักอาศัย คอนโด ไปจนถึงงานรีโนเวทระดับโครงการ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่พัฒนาไปไกลจนให้ลุคไม้สมจริงมากขึ้น ทนรอย ทนความชื้นได้ดีขึ้น และมีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าไม้จริงหลายเท่า โดยเฉพาะแบรนด์ระดับสากลที่ลงทุนด้านนวัตกรรมและมาตรฐานผลิตอย่างเข้มงวด
เพื่อช่วยให้เจ้าของบ้าน นักออกแบบ และผู้รับเหมามีกรอบในการเลือกที่ชัดเจนขึ้น บทความนี้ได้คัด 5 แบรนด์ พื้นลามิเนต ระดับโลกที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในปี 2025 พร้อมสรุปจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ว่าทำไมถึงได้รับการยอมรับในตลาดโลก และสามารถใช้เป็น “มาตรฐานอ้างอิง” เวลาเลือกพื้นลามิเนตในตลาดไทยได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
1.Kronoswiss พื้นลามิเนต จากสวิตเซอร์แลนด์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความแม่นยำและความยั่งยืน
Kronoswiss ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ พื้นลามิเนต ระดับพรีเมียมจากยุโรปที่ได้รับความนิยมสูงเป็นพิเศษ ด้วยความโดดเด่นของ แกน HDF ความหนาแน่นสูง, ลายไม้คมชัดสมจริง และมาตรฐานการผลิตของสวิตเซอร์แลนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความละเอียดทุกขั้นตอน
สิ่งที่ทำให้ Kronoswiss แตกต่างคือ ค่านิยมด้านความยั่งยืน ที่ถูกผสานเข้าไปในทุกกระบวนการผลิต ตั้งแต่การเลือกไม้จากป่าที่บริหารจัดการอย่างถูกต้อง ไปจนถึงการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้แบรนด์นี้ถูกยกให้เป็น “ทางเลือกของคนรักโลกและรักงานดีไซน์” เหมาะกับลูกค้าที่ต้องการงานไม้ลุคยุโรปแท้ ๆ และเน้นความเสถียรของแผ่นเป็นพิเศษ ทั้งบ้านพักอาศัยและโปรเจกต์ระดับโรงแรม
2.Pergo ผู้บุกเบิก พื้นลามิเนต รายแรกของโลกที่ยังคงเป็นมาตรฐานในปี 2025
ถ้าพูดถึงลามิเนต Pergo คือแบรนด์ที่ถูกยกย่องว่า “เป็นคนทำให้ พื้นลามิเนต เป็นที่รู้จักทั่วโลก” ความโดดเด่นคือลายไม้ที่สมจริงมากในทุกคอลเลกชัน และเทคโนโลยีเฉพาะอย่าง ScratchGuard และ WetProtect ที่ทำให้พื้นมีความทนรอยสูงและกันน้ำได้ดีกว่าลามิเนตทั่วไป ถือเป็นตัวอย่างของ “ลามิเนตที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงในยุคปัจจุบัน” ทั้งด้านลุค ความทนทาน และการดูแลที่ง่ายขึ้น เหมาะกับบ้านที่ต้องการสไตล์ไม้ธรรมชาติแบบอเมริกันและต้องการคุณภาพที่สื่อถึงงานฝีมือจริง
3.Mohawk (RevWood) พื้นลามิเนต ที่ออกแบบมาเพื่อบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงและการใช้งานหนัก
Mohawk เป็นแบรนด์อเมริกาที่โดดเด่นด้านฟังก์ชัน เช่น All-Pet Protection และ WetProtect ซึ่งออกแบบมาเพื่อบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง เด็กเล็ก หรือการใช้งานประจำวันแบบหนัก ๆ ดีไซน์ไม้ของ Mohawk ออกแบบด้วยเทคโนโลยี GenuEdge ช่วยให้ผิวไม้และขอบแผ่นดูสมจริงมาก ๆ เหมาะกับบ้านสมัยใหม่ที่ต้องการความงามแบบไม้จริงแต่ต้องการความอึดถึกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่
4.Mannington งานดีไซน์ระดับสูง
Mannington เป็นแบรนด์ พื้นลามิเนต จากสหรัฐฯ ที่ได้รับความนิยมจากนักออกแบบภายใน เพราะงานดีไซน์ที่ละเอียด ลายไม้แนว “รีเคลม–รัสติก” ทำออกมาได้สวยเป็นพิเศษ มีเอกลักษณ์และเท็กซ์เจอร์ที่ดูเหมือนไม้เก่าแท้ ๆ
จุดเด่นที่ทำให้ Mannington ติดอันดับคือ SpillShield และ SpillShield Plus ที่ป้องกันน้ำหกได้นานกว่าแบรนด์ลามิเนตทั่วไปหลายเท่า จึงเหมาะมากสำหรับบ้านที่มีโซนเปียกเบา เช่น ห้องครัว พื้นชั้นล่าง หรือบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง
เหมาะสำหรับลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับดีไซน์ “หน้าตาเหมือนไม้จริงที่สุด” และต้องการความคงทนในพื้นที่ใช้งานจริง
5.Newton พื้นลามิเนต สายคุ้มค่า แต่ฟีเจอร์เทียบรุ่นใหญ่
Newton เป็นแบรนด์ที่ถูกพูดถึงมากในต่างประเทศเพราะให้ฟีเจอร์ระดับพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงง่าย เช่น ความหนา 10–12 มม., AC4–AC5, ผิวหน้าแบบกันรอย และหลายรุ่นที่กันน้ำได้ เหมาะสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการลามิเนตที่ดี “แต่ไม่อยากจ่ายถึงระดับไฮเอนด์”
คอนเซ็ปต์ของแบรนด์คือ “Brilliant Floors, Intelligently Priced” ตอบโจทย์กลุ่มตลาดกลางที่ต้องการความทนทานและดีไซน์สวย แต่ยังคงควบคุมงบประมาณได้ดี เหมาะกับบ้านทั่วไป คอนโด หรือผู้ที่ต้องการความคุ้มค่าในทุกตารางเมตรโดยไม่ลดคุณภาพการใช้งาน
เมื่อมองภาพรวมของทั้ง 5 แบรนด์ พื้นลามิเน ตระดับสากล จะเห็นได้ชัดว่าไม่มีแบรนด์ใดดีที่สุดในทุกด้าน แต่แต่ละแบรนด์ต่างมี “จุดแข็งเฉพาะตัว” ที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลวดลายเสมือนไม้จริง เทคโนโลยีกันน้ำ ความทนทานระดับ AC Rating ไปจนถึงมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด
สิ่งสำคัญไม่ใช่การเลือกแบรนด์ที่ชื่อเสียงดังที่สุด แต่คือการเลือก พื้นลามิเนตที่เหมาะกับพื้นที่ สภาพแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ของบ้านคุณ มากที่สุด หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเหมาะสมของพื้นแต่ละประเภท หรืออยากให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยวิเคราะห์พื้นที่จริง VK Floor พร้อมให้คำปรึกษาแบบเป็นกลาง เพื่อช่วยให้คุณเลือกพื้นได้สวย คุ้มค่า และใช้งานได้ยาวนานที่สุดในบ้านของคุณ
